บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    การพัฒนาและการออกแบบ
2.7K
2 นาที
17 พฤษภาคม 2560
6 เหตุผลต้องเคลียร์! ถ้าคิดจะเป็น Startup

 
ปัจจุบันเรื่องโอกาสในการทำงานหรือความต้องการมีเงินไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นลูกจ้างหลายคนมองข้ามการเป็นมนุษย์เงินเดือนเป้าหมายในชีวิตของคนยุคนี้อยู่ที่การเป็นนายตัวเองในฐานะของ Startup  แม้ว่าคำว่า Startup จะสวยหรู ดูดี มีอนาคต รวมถึงเป็นการลงทุนเริ่มต้นอาชีพที่คนทั่วโลกให้ความนิยมเป็นอย่างมาก

แต่อย่างที่เราเคยกล่าวว่าการเป็นสตาร์ทอัพนั้นใช่ว่าใครแค่คิดแล้วก็จะเริ่มเป็นได้ในฐานะที่ www.ThaiFranchiseCenter.com อยู่ในแวดวงของการลงทุนมานานมองเห็นทิศทางของคำว่าสตาร์ทอัพยังสามารถเติบโตได้อีกมากอย่างที่อเมริกาก็มีเด็กจบใหม่มองหางานทำที่สตาร์ทอัพมากกว่าบริษัทใหญ่ๆอยู่ร้อยละ 30 ตามผลสำรวจของ Accenture เมื่อปี 2016 แต่ทั้งนี้คนที่สนใจเข้ามานั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเคลียร์ตัวเองให้ได้กับ 6 เหตุผลต้องเคลียร์ถ้าคิดจะเป็นสตาร์ทอัพ
 
1.เงินเดือนและผลประโยชน์ไม่แน่นอน

 
หลังจากที่เราได้เป็นสตาร์ทอัพสมใจ ควรต่อรองผลตอบแทนในช่วงที่เราทำงานอยู่ ถ้าเป็นสตาร์ทอัพที่ได้ทุนเยอะ ก็ยิ่งต่อรองผลตอบแทนได้มากขึ้น แล้วแต่ตำแหน่งที่เราสมัครด้วย แต่ถ้าเป็นสตาร์ทอัพที่ต้องควักเงินตัวเองมาลงทุน (Bootstapping) ก็จะต่อรองได้น้อยหน่อย

ส่วนเงินเดือนก็จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ๆ ไม่มีมาตรฐานว่าเงินเดือนสตาร์ทอัพต้องอยู่ที่เท่าไหร่ ส่วนผลประโยชน์อย่างประกันสุขภาพกับทันตกรรม สตาร์ทอัพหลายเจ้าก็อาจจะไม่ได้มีให้ แต่ถ้าเราอยากทำงานสตาร์ทอัพจริงๆ เราก็มองข้ามเรื่องพวกนี้ไปได้เลย
 
2.วัฒนธรรมองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
 
วัฒนธรรมองค์กรที่ว่าก็พัฒนามาจากวิธีที่คนในทีมติดต่อสื่อสารโต้ตอบกับอีกคนว่าแต่ละวันเขาทำกันอย่างไร วิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆในสตาร์ทอัพตามปรกติ วิธีที่ทำงานร่วมกัน ถ้าเป็นบริษัทใหญ่

เราแค่เข้าไปทำงานในวัฒนธรรมที่มันมีอยู่แล้ว มีแนวปฏิบัติกันอยู่แล้ว แต่ถ้าสมมุติว่าเราเป็นพนักงาน 20 คนแรกในสตาร์ทอัพ เราจะต้องเป็นคนที่พัฒนาวัฒนธรรมในองค์กรขึ้นมา ยิ่งการที่เราได้งานสตาร์ทอัพเป็นงานแรก ก็ขอให้ระวัง และถ้าสตาร์ทอัพมัอัตราการลาออกสูงละก็ วัฒนธรรมในสตาร์ทอัพจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หาความแน่นอนไม่ได้จริงๆ

3.ไม่มีโครงสร้างตายตัว ไม่มีหัวหน้างานชัดเจน

 
เด็กจบใหม่ที่เพิ่งทำงานในสตาร์ทอัพอาจจะมาจากสิ่งแวดล้อมในรั้วของการศึกษาที่มีเป้าหมายชัดเจนและสม่ำเสมอ มีพ่อแม่ มีอาจารย์คอยชี้ทางให้ แต่พอมาทำงานในสตาร์ทอัพ ทุกอย่างจะพลิกหมด เป้าหมายก็ไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไม่มีใครมาคุมงาน ไม่มีใครมาประเมินว่าเราทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้ยาก ยิ่งถ้าเราเป็นเด็กใหม่ไฟแรง ที่คอยหาวิธีปรับปรุงการทำงานของตัวเองอยู่ตลอด สตาร์ทอัพอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่น่าสนใจ เราจะหาทางปรับปรุงการทำงานของตัวเองแบบสะเปะสะปะ ไม่มีอะไรมาวัดชัดเจนว่าเราจะทำงานสำเร็จ
 
ส่วนใครอยู่ภายใต้คำสั่งใครนั้น สตาร์ทอัพก็ไม่มีโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจนและเปลี่ยนอยู่ตลอด ไม่มีใครบอกได้ว่าใครต้องทำตามใคร ยิ่งผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพและนักลงทุนกดดันตัวสตาร์ทอัพ ทำให้เป้าหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆเราต้องเตรียมใจที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หาความแน่นอนไม่ได้ด้วย

บางสตาร์ทอัพเราอาจเป็นหัวหน้างานเอง เราอาจจะรู้สึกดีแต่เราก็คงอยากได้ใครสักคนมาช่วยติวช่วยสอนงาน จัดการความสำคัญกับงาน เรียนรู้สิ่งใหม่ๆและเติบโตขึ้นเช่นกัน
 
4.ถูกกดดันให้ทำงานตลอดเวลา
 
ถ้าเราทำงานสตาร์ทอัพ เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีกำหนดต้องปั่นงานส่งทุกอาทิตย์ เราไม่ใช่แค่ทำงานใกล้ชิดกับคนก่อตั้งสตาร์ทอัพที่ไล่ล่าความฝัน แต่เราอาจจะต้องทำงานกับรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า

ตราบใดที่เรายังทำงานกับสตาร์ทอัพ เราจะได้ข้อความส่งในอีเมล ในแชทแอปฯตลอดเวลา คอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ทุกคนมอบหมายงานให้เราทำแทน และคาดหวังว่าเราต้องทำให้เสร็จทันเวลา แต่ถ้าเราคิดว่าไม่ได้ “Stand by” ขนาดนั้น แนะนำว่าหางานในองค์กรใหญ่ที่มีตารางเวลาแน่นอนดีกว่า

5.ทรัพยากรในการทำงานมีแค่เพียงน้อยนิด

 
ไม่เหมือนทำงานกับองค์กรใหญ่ๆที่มีแผนกทรัพยากรบุคคล แผนกเทคโนโลยี แผนกการตลาด ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำงานอย่างไร ลองของบอบรมจากสตาร์ทอัพ เข้าสัมมนา เข้าเวิร์คช็อป ดู Youtube ดูเว็บไซต์ที่สอนแบบฟรีๆ พัฒนาทักษะเอาเอง เวลาเราทำงานแบบสตาร์ทอัพ ตัวเราเองที่จะกลายเป็นพนักงานทั้งแผนก ตั้งแต่จ้างงาน ทำงานตลาด วางกลยุทธ์ ทำสื่อสังคมออนไลน์ ถ้าคิดว่าเราสามารถเจอกับงานหนักแบบนี้ได้เราก็น่าจะมายืนบนเส้นทางสตาร์ทอัพได้แล้ว

6.การเงินไม่แน่นอน
 
ในช่วงแรกที่เป็นสตาร์ทอัพอาจได้งานดี เงินดี แต่อีกปีสองปี นักลงทุนเขาถอนทุนขึ้นมา เราอาจจะตั้งตัวไม่ทัน ถ้าเราไม่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายของสตาร์ทอัพ ไม่มีทักษาะที่จำเป็น สตาร์ทอัพก็พร้อมจะถอนการลงทุนกับเราได้ทันที เพราะเขาไม่อยากเสียเวลากับคนที่ไม่ทำให้สตาร์ทอัพก้าวไปข้างหน้า ถ้าอยากทำงานสตาร์ทอัพก็ทำใจกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
 
จะเห็นได้ว่าสตาร์ทอัพนั้นไม่ใช่เรื่องที่แค่คิดแล้วจะทำได้ทันทียิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงมาก นอกจากการเตรียมตัวเตรียมใจในเหตุผลเหล่านี้ก็ต้องมีไอเดียที่เด็ดขาดและเหนือกว่าคู่แข่ง  ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นสตาร์ทอัพที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามหากว่าเราตั้งใจจะเป็นสตาร์ทอัพที่มีอนาคตก็ต้องมีการวางแผนเบื้องต้นและค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างแท้จริง
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
434
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
421
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด