แม้ว่าขณะนี้ร้านกาแฟดีโอโร่ เริ่มเป็นที่คุ้นตาและทำให้หลายคนติดใจ ในรสชาติของความสดใหม่ของกาแฟที่ร้านแล้ว แต่เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ที่เกิดจากความเอาใส่ใจในทุกๆ รายละเอียดของผู้บริหารแล้ว ถือว่ากาแฟดีโอโร่ ได้เปรียบในการที่ไร่กาแฟ ที่สามารถควบคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของทางบริษัทฯได้ แถมยังสร้างอาชีพให้ชาวเขาด้วยการปลูกกาแฟบนพื้นที่ของส.ป.ก. และยังสามารถนำสินค้าพื้นบ้านที่มีคุณภาพ มาจำหน่ายในร้านกาแฟดีโอโร่ได้อีกด้วย 

นายวีรเดช สมบูรณ์เวชการ ประธานบริษัท วีพีพี โปรเกรสซิฟ จำกัด หรือเจ้าของร้านกาแฟ “ดีโอโร่” กล่าวถึงโครงการที่ได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลในการช่วยเหลือ และสร้างอาชีพให้กับชาวเขาให้มีงานทำ โดยสร้างด้วยอาชีพด้วยการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า สายพันธ์คาติมอร์ F7 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน โดยได้จัดสรรพื้นที่ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และเกษตรอำเภอ ให้แก่ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงประมาณ 300 ครอบครัว ครอบครัวละ 5 ไร่ รวมทั้งหมด 4,500 ไร่ ซึ่งทางบริษัทฯ จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนเรื่องต้นกล้า ความรู้คำแนะนำต่างๆ พร้อมทั้งยังเสนอทางเลือกให้กับชาวเขา ในช่วงที่ผลผลิตกาแฟยังไม่สามารถจำหน่ายได้ 

 

 

ทั้งนี้ผลผลิตของเมล็ดกาแฟหลังจากเริ่มปลูกจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่งผลให้ในช่วงที่ผลผลิตยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวเขาได้ ทางบริษัทฯ จึงได้นำพันธุ์ของผลสตรอเบอรี่ และผักพื้นบ้านต่างๆ มาให้ชาวเขามีรายได้ตลอดปี โดยต้องการให้เป็นแรงจูงใจให้กับชาวเขาในการลงมาปลูกกาแฟ เพื่อป้อนผลผลิตที่มีคุณภาพให้กับร้านกาแฟดีโอโร่ ภายใต้โครงการ “From Farm to Cup” 
  

“การที่เราจะให้ชาวเขายอมลงมาปลูกกาแฟให้เรานั้น ทางบริษัทฯ จะต้องเตรียมความพร้อมและสร้างจูงใจให้ชาวเขาลงมาช่วยกันปลูกกาแฟ โดยโครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลที่สามารถทำให้ชาวเขามีงานทำและมีรายได้เพิ่ม ส่วนทางบริษัทฯ ก็จะได้ผลผลิตกาแฟอาราบิก้าที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิตของชาวเขาด้วย ส่วนเรื่องเงินทุนทางบริษัทฯ ได้ประสานงานกับส.ป.ก. ปล่อยเงินกู้ให้ครอบครัวละ 15,000 บาท ปลอดดอกเบี้ยประมาณ 3 ปี เพื่อรอให้ชาวเขามีรายได้จากผลผลิต จึงจะให้ทยอยใช้คืนด้วยดอกเบี้ยเพียง 2%” นายวีรเดชกล่าว
 

 

ในปัจจุบันได้มีชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงสนใจโครงนี้ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาได้ มีชาวเขากว่า 100 ครอบครัวก็เข้าร่วมกับโครงการนี้ ส่งผลให้รายได้ของชาวเขาเพิ่มขึ้นจากปีละ 4,000-5,000 บาท เป็น 20,000 บาท/ปี ส่วนในเดือนพฤษภาคม 2548 ทางบริษัท วีวีพี โปรเกรสซิส จำกัด ได้เตรียมพื้นที่ของส.ป.ก.ประมาณ 2,450 ไร่ ก่อนเพื่อจัดสรรให้ครอบครัวละ 5-10 ไร่ และคาดว่าภายในปี พ.ศ.2549 จะสามารถให้ชาวเขามาปลูกกาแฟเพื่อสร้างอาชีพได้ทั้งหมด 4,500 ไร่ ซึ่งในขณะนี้ทางบริษัทฯ เตรียมปล่อยต้นกล้ากาแฟจำนวน 3 แสนต้น ไว้รองรับให้ชาวเขาแล้ว ทั้งนี้นอกจากชาวเขาจะมีอาชีพและมีรายได้เพิ่มแล้ว ทางร้านกาแฟดีโอโร่ ยังมีนโยบายรับซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวเขา เช่น ผ้าทอต่างๆ รับมาจำหน่ายในร้านกาแฟสาขาต่างๆ ด้วย 

 

“พื้นที่ของอ.อมก๋อยจ.เชียงใหม่ถือว่า เป็นดินแดนที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า สายพันธ์คาติมอร์ F7 ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง สภาพอากาศเย็นตลอดทั้งปี และมีปริมาณน้ำฝนที่พอเหมาะแก่การปลูกกาแฟ ซึ่งดินแดนแห่งนี้มีความพร้อมในการปลูกกาแฟอาราบิก้าเทียบเท่ากาแฟ บลูเมาเท่นด์ ของประเทศจาไมก้า เลยทีเดียว” นายวีรเดชกล่าว 
 

 
 

ด้านนายธนพล เลิศสังข์แจ่มใส ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด หรือผู้ดูแลร้านกาแฟดีโอโร่ (Cafe D'Oro) และสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ กล่าวถึงความสดของกาแฟในร้านดีโอโร่ว่า ทางร้านกาแฟดีโอโร่ ได้เปรียบในเรื่องการมีไร่กาแฟ ทำให้สามารถควบคุมทุกขั้นตอนและกระบวนการผลิตได้อย่างใกล้ชิด โดยเริ่มตั้งแต่การคัดสายพันธุ์ การปลูก ที่จะมีนักวิชาการคอยดูแลชาวเขาและให้คำแนะนำอยู่ตลอดเวลา ส่วนขั้นตอนการนำเปลือกออกและการหมัก จะทำที่ไร่กาแฟ อ.อมก๋อย ซึ่งการคั่วจะส่งไปโรงงาน จ.สมุทรสาคร ที่ได้มีการนำเข้าเครื่องจักรที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทุกกระบวนการทำให้ผลผลิตกาแฟของดีโอโร่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพดี ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่คู่แข่งยากที่จะตามทัน 

 

“เราได้เปรียบในเรื่องความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟที่นำมาชงในแต่ละแก้ว เพราะกาแฟทุกถุงที่เราส่งไปตามสาขาต่างๆ จะมีคุณภาพดีและได้มาตรฐานเดียวกันคือหลังจาก เมล็ดกาแฟผ่านการคั่วและบรรจุลงถุงจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ดังนั้นผู้บริโภคสามารถมั่นใจในเรื่องความสดใหม่ของกาแฟได้ ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการร้านกาแฟรายอื่น ที่ต้องรอเมล็ดกาแฟสั่งตรงมาจากประเทศ ซึ่งหากการเก็บรักษา ระหว่างการขนส่งไม่ดีก็จะทำให้กลิ่นและรสชาติของกาแฟสดสูญเสียไป และเมื่อกาแฟได้ถูกชงและลงไปอยู่ในแก้วแล้ว ลูกค้าจะต้องดื่มให้หมดภายใน 20 นาที เพื่อคงความสดใหม่ เพื่อที่จะไม่ให้กาแฟมีรสเปรี้ยว” นายธนพลกล่าว 

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์