|
|
9 พฤศจิกายน 2553 |
กาแฟสด ชาวดอย ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ความคล่องตัวสูง
ภาพจาก www.facebook.com/chaodoicoffee
ปัจจุบันนี้มีคนที่สนใจธุรกิจกาแฟเพิ่มมากขึ้น แต่การลงทุนทำธุรกิจร้านกาแฟแบบ Shop หรือรูปแบบที่ดี ต้องใช้เงินลงทุนสูง กว่า 7-8 แสนบาท หรืออาจเลยไปถึงหลักล้านบาท ทำให้หลายคนต้องหยุดคิด กลับไปตั้งหลักก่อน
บริษัท อัลติเมท เบเวอร์เรจ โปรดักท์ จำกัด จึงรับอาสาส่งอัศวินขี่ม้าขาว "กาแฟสด ชาวดอย" มาช่วย ด้วยคอนเซ็ปท์รูปแบบธุรกิจกาแฟสดของคนไทยสไตล์ใหม่ เน้นความคล่องตัว สะดวก ทันสมัย ใช้พื้นที่ในการจำหน่ายน้อย ลงทุนน้อย และความเสี่ยงต่ำ
จุดเด่นสำคัญของ กาแฟสด ชาวดอย ก็คือไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี้ฟี เบ็ดเสร็จแล้วลงทุนจริงๆ 60,000-70,000 บาท คือ ลงทุนแค่ในส่วนของค่าอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ แบบครบเซ็ททุกอย่าง พร้อมเปิดร้านจำหน่ายได้เลยที่ 65,000 บาท
สำหรับเงินค้ำประกันรถกาแฟจำนวน 60,000 บาท จะได้รับคืนเมื่อเลิกกิจการและคืนรถให้กับบริษัทแม่ แม้แต่เครื่องชงกาแฟหรืออุปกรณ์ต่างๆ ก็จะมีรายละเอียดของการพิจารณาว่าส่วนไหนที่สามารถขายกลับคืนได้
ความเสี่ยงต่ำ เพราะอะไร?
ความเสี่ยงในการลงทุนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบกังวลมากที่สุด ซึ่งกาแฟสด ชาวดอย ก็คิดไว้เช่นกัน โดยคิดแผนการลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไว้เช่นกัน
สมมติว่า คุณนำรถกาแฟสด ชาวดอย ไปตั้งขายที่สถานที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วเกิดขายไม่ดี ก็สามารถย้ายไปยังที่แห่งอื่นได้เลยทันที ไปค้นหาจุดที่ดีได้ทันที เพราะเมื่อมีแบรนด์ โปรดักท์มีคุณภาพ การทำตลาดก็ไม่ใช่เรื่องยาก เปรียบได้กับไก่ย่างห้าดาวที่ จีรศักดิ์ ลีฬทาวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทอัลติเมท เบเวอร์เรจ โปรดักท์ จำกัด เป็นคนสร้างโปรเจ็กท์ตั้งแต่แรกเริ่ม คือ สามารถย้ายจุดไปอยู่ในจุดค้นหาลูกค้าที่ต้องการได้ตลอดเวลา แตกต่างจากการลงทุนกิจการร้านกาแฟในรูปแบบ Shop ที่ไม่สามารถย้ายไปไหนได้
ภาพจาก www.facebook.com/chaodoicoffee
เมื่อการลงทุนต่ำ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่ำ สิ่งที่ตามมาคือราคาที่สามารถยืดหยุ่นได้มาก เพราะในความเป็นจริงต้นทุนของเนื้อกาแฟในแต่ละแก้วจะ ไม่แตกต่างกันมาก เมื่อต้นทุนด้านอื่นน้อย ทำให้สามารถขายในราคาต่ำกว่าคนอื่นได้ สังเกตได้จากราคากาแฟในปัจจุบัน ทำไมจึงมีตั้งแต่ราคาเพียงแก้วละ 10-12 บาท เรื่อยไปจนถึงหลักร้อยบาท
ทั้งนี้ต้นทุนต่อหนึ่งแก้วของกาแฟร้อนทั่วไป รวมค่าเนื้อกาแฟ น้ำ ถ้วย น้ำตาล ครีม และอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดตกประมาณไม่เกิน 7 บาท หากจะขาย 20 บาท หรือ ทำโปรโมชั่นเหลือ 15 บาทก็ยังทำได้ ในขณะที่ต้นทุนของกาแฟเย็นต่อหนึ่งแก้วจะอยู่ที่ราว 10-12 บาทเท่านั้น
สำหรับรายละเอียดลึกๆ แล้ว ทางบริษัทมีการจัดอบรมให้ความรู้ในการทำธุรกิจกาแฟแก่ผู้สนใจอีกด้วย คิดค่าเรียนเพียง 3,500 บาทเท่านั้น
จุดเด่นอีกข้อของกาแฟสด ยอดดอย คือ ไม่ต้องแบกรับปัญหาเรื่องสต็อกมากจนเกินไป เพราะกาแฟสดแบรนด์ชาวดอยสามารถสั่งวัตถุดิบ แพคเกจจิ้งทุกอย่างได้สัปดาห์ต่อสัปดาห์ ปริมาณแก้วจำนวนต่ำสุดที่ร้านจำหน่ายทั่วไปรับออเดอร์คือ 30,000 ใบ แต่สำหรับชาวดอย จะสั่งอาทิตย์ละ 1,000 ใบ 500 ใบ 300 ใบ หรือเท่าไรก็ได้ตามความต้องการ เนื่องจากไม่ต้องการให้แฟรนไชส์ซีแบกรับสต็อกมากเกินไป เพราะหัวใจของการทำธุรกิจประเภทนี้คือความใหม่ ความสดของวัตถุดิบ
ในอนาคตบริษัทมีความคิดที่จะนำเอาโปรดักส์อื่นๆ ใส่เพิ่มเข้าไปในกาแฟสด ชาวดอยอีก เช่น น้ำสมุนไพรต่างๆ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำเสาวรส น้ำกระเจี๊ยบ หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยว เช่น โรตี ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวสังขยา
อนึ่ง ปัจจุบัน บริษัท อัลติเมท เบเวอร์เรจ โปรดักส์ จำกัด ถือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจกาแฟแบบครบวงจร มีร้านกาแฟ Ninety-Four Coffee จับกลุ่มตลาดบน ขณะที่มีกาแฟสด ชาวดอยจับกลุ่มตลาดล่างหรือลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เน้นในเรื่องของการใช้บริการ เหมาะสำหรับ Take away มากกว่า
นอกจากนี้ยังร่วมกับทางปตท.ทำร้านกาแฟแบรนด์ "อเมซอน" ในปั๊มน้ำมัน มีคอร์สฝึกอบรมเรื่องกาแฟสำหรับผู้สนใจทั่วไปที่อยากทำธุรกิจร้านกาแฟ จำหน่ายเมล็ดกาแฟ อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟทั้งหมด รวมไปถึงรับออกแบบ ตกแต่งร้าน และติดตั้งอุปกรณ์
ภาพจาก www.facebook.com/chaodoicoffee
สำหรับที่มาของกาแฟสด ชาวดอย เดิมเป็นคอนเซ็ปท์หนึ่งของกาแฟ Ninety-Four Coffee ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ได้วางโครงการเอาไว้ว่าร้าน Ninety-Four Coffee จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ หนึ่งคือมีลักษณะเป็น Shop สองเป็น Corner อยู่ในศูนย์การค้าหรือ ออฟฟิศบิลดิ้ง และ สามคือ Cart ในรูปแบบรถกาแฟสด
แต่ผลออกมาปรากฏว่า ลักษณะรูปแบบของ Cart กับโครงสร้างราคานั้นมีความขัดแย้งกัน เพราะลูกค้ารับราคาไม่ได้ และลูกค้า Ninety-Four Coffee ตาม Shop จะให้ความเห็นว่าดูไม่เหมาะ ไม่เข้ากัน คือ ร้าน Ninety-Four Coffee กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าขับรถ ระดับ C+ ขึ้นไป ดังนั้นสถานที่ต้องดี รูปแบบของ Cart จึงไม่เกิด
สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจเก็บโครงการไว้เป็นเวลากว่า 2 ปี แต่ผู้บริหารของบริษัทยังมีความต้องการมุ่งเน้นให้คนไทย ได้ดื่มกาแฟสดที่มีคุณภาพ ราคามีความยืดหยุ่น จับกลุ่มลูกค้าตั้งแต่คนเดินถนน จนกระทั่งขึ้นห้าง หรือจะไปอยู่ตาม Food Court ก็ได้ จึงทำให้เกิดการสานต่อจนเกิดโครงการกาแฟสด ชาวดอย ขึ้นมา โดยเริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบัน มีจำนวนสาขาทั้งหมด 10 สาขา โดยเป็นแฟรนไชส์ 5 สาขา
เป้าหมายคืออะไร
ภาพจาก www.facebook.com/chaodoicoffee
สำหรับเป้าหมายของกาแฟสด ชาวดอยในอนาคต คือ การเป็นกองทัพมด มีอยู่ตามทุกตรอก ทุกมุม ทุกซอก ทุกซอย ทุกชุมชนต้องมีหมด
"ผมเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีที่สุดสำหรับทุกคน มันมีจุดที่เหมาะกับเรา อาจจะเป็นราคา รสชาติ สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้กาแฟถูกปากกลุ่มลูกค้า ไม่ต้องถูกปากทุกคน"
กาแฟสด ชาวดอย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับแฟรนไชส์ธุรกิจกาแฟ คือ เป็นสูตรสำเร็จที่ไม่ยุ่งยาก ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้ดีและคงทน ข้อดีเยอะขนาดนี้ คงจะทำให้ผู้สนใจในธุรกิจยอดนิยมนี้มีทางเลือกมากขึ้นสำหรับคนที่ทุนยังไม่หนา ต้องการลดความเสี่ยง หรือแม้แต่ผู้ที่อาจชื่นชอบบรรยากาศแบบติดดินนิดหน่อย ที่สำคัญคือต้องพยายามหาข้อมูลให้มาก และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะที่สุดด้วยตนเอง
อัตราค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์กาแฟสด ชาวดอย
- ค่าแฟรนไชส์ฟี
- ปีแรก 20,000 บาท
- ปีถัดไป ปีละ 12,000 บาท (เฉลี่ย 1,000 บาทต่อเดือน)
- ค่าเช่ารถกาแฟสดรายเดือน 1,000 บาท
- ชุดอุปกรณ์เปิดร้านใหม่ ประมาณ 65,000 บาท
- ค่าค้ำประกันรถกาแฟสด 60,000 บาท
ทั้งนี้บริษัทจะคืนเงินส่วนนี้ เมื่อยกเลิกสัญญา ตามสภาพของรถกาแฟ
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 0-2933-4191
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์
|
|
|
|
|
|
|
|
156,528
