บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
267
2 นาที
12 กันยายน 2568
ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่สุด
 

ร้านกาแฟเป็นหนึ่งในธุรกิจสุดฮิตที่คนเชื่อว่าเปิดง่าย ขายดี มีกำไรไม่ยาก บางคนบอกว่าแค่มีเครื่องชงกาแฟดีๆ มีบาริสต้าเก่งๆ แค่นี้ก็เปิดร้านได้ 
 
แต่ในความเป็นจริงมันโหดร้ายยิ่งกว่า ถ้าดูจากสถิติคนลงทุนร้านกาแฟอัตราล้มเหลวค่อนข้างสูง เฉลี่ยที่ 30-60% ภายในปีแรก และ 50-74% ภายใน 5 ปี
 
คำถามคือถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วการเปิดร้านกาแฟจะมีโอกาสสำเร็จได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องโฟกัสคือ
 
1. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
 

เราต้องตั้งคำถามก่อนเปิดร้านว่าใครคือลูกค้าหลัก? พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา คนทำงานฟรีแลนซ์ หรือนักท่องเที่ยว? จากนั้นก็สำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่ามีกลุ่มเป้าหมายอยู่หรือไม่
 
2.การเข้าถึงและการมองเห็น
 
ร้านควรอยู่ในตำแหน่งที่คนเดินผ่านหรือขับรถเห็นได้ชัด เช่น ริมถนนใหญ่ หรือมุมตึกที่มีป้ายเด่นชัด ควรมีที่จอดรถ หรือใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น BTS, MRT จะยิ่งดีมาก
 
3.การแข่งขันในพื้นที่
 

ต้องสำรวจว่าในพื้นที่ใกล้เคียง 1-2 กิโลเมตรมีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน และวิเคราะห์จุดเด่นและจุดอ่อนของคู่แข่ง เช่น ราคา, บรรยากาศ, เมนู หรือการบริการ เพื่อหา “ช่องว่าง” ในตลาด เช่น ถ้าคู่แข่งเน้นกาแฟราคาถูก เราอาจเน้นกาแฟพรีเมียมหรือบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์
 
อย่างไรก็ดีที่กล่าวไปอาจเป็นแค่การวิเคราะห์ภาพรวมในเบื้องต้น แต่ถ้าต้องการความมั่นใจก่อนลงทุนเปิดร้านกาแฟ อาจต้องใช้หลักการ “Mini Feasibility” หรือความเป็นไปได้ของธุรกิจ โดยต้องเช็ก 3 สิ่งสำคัญในทำเลเหล่านั้นได้แก่
  1. Foot Traffic มีสัดส่วนคนในพื้นที่แค่ไหน? มีคนกลุ่มไหนมากที่สุด?
  2. ค่าเช่า/ตร.ม.เช็กราคาของผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าส่วนใหญ่เกิน 20% จากยอดขายไหม?
  3. ยอดขาย/วัน เป็นตัวเลขพอให้เห็นภาพว่าเพียงพอจ่ายต้นทุน + เหลือกำไรหรือไม่?
เหตุผลที่ต้องเช็กต้นทุนให้ชัด เพราะกาแฟ 1 แก้วมีต้นทุนแฝงค่อนข้างมาก ทั้งค่าเช่าสถานที่ ซึ่งถ้าทำเลดีๆ อยู่ในย่านออฟฟิศสำนักงาน อาจสูงถึงเดือนละหลายหมื่นบาท ค่าพนักงานขั้นต่ำก็ 13,000 บาท แต่ถ้าจ้างบาริสต้าเก่งๆ ก็ต้องจ่ายแพงกว่านั้น ไหนจะค่าสวัสดิการ ค่าอาหาร ค่า OT จิปาถะ 
 
 
นอกจากนี้ยังมีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื่อมของเครื่องชงกาแฟ ค่าแก้ว ค่าทิชชู่ ฯลฯ เมื่อนำมาคำนวณแล้ว กำไร 1 แก้ว จะเหลือประมาณ 20% เท่านั้น ฉะนั้นถ้าขายกาแฟราคาแก้วละ 60 บาท เราจะได้กำไรประมาณ 12 บาทเท่านั้น 
 
สมมติว่ามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่เป็น Fixed cost (ค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ) 30,000 บาท เท่ากับว่าต้องขายกาแฟให้ได้เดือนละ 2,500 แก้ว ถ้าเปิดร้าน 20 วัน ต่อเดือน เท่ากับว่า 1 วัน เราต้องขายให้ได้ 125 แก้ว เพื่อ “เท่าทุน” 
 
หรือถ้าใครติดตามข่าวแม้แต่ในเกาหลีใต้เอง แบรนด์ดังอย่าง Starbucks ยังประกาศไม่ให้อุปกรณ์ HOME Office เข้าร้านเด็ดขาด ก็เป็นผลมาจากการที่คนเกาหลีใต้มักยึดพื้นที่ในร้านกาแฟให้กลายเป็นที่ทำงาน 
 
ซึ่งในเกาหลีใต้มีการประเมินไว้ว่า กาแฟหนึ่งแก้วราคาประมาณ $3 (ราว 110 บาท) จะคุ้มทุนค่าที่นั่งของลูกค้าได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น หากเข้ามาใช้บริการนั่งนานเกินไป ผู้ประกอบการจะเสียโอกาสในการสร้างรายได้อย่างมาก
 
ดังนั้นถ้าใช้ Foot Traffic เป็นเกณฑ์ ยิ่งมีคนมาก โอกาสได้พบกลุ่มลูกค้าของร้านก็จะยิ่งมาก มีหลายทำเลที่น่าสนใจเช่น
 
 
1.ทำเลแหล่งท่องเที่ยวและเมืองหลัก

มีปริมาณ Foot Traffic สูงเฉลี่ย 15,000–30,000 คน/วัน แต่ก็ต้องแลกกับเรื่องค่าเช่าที่อาจสูงตาม โดยเฉลี่ยประมาณ 2,000–4,000 บาท/ตร.ม. มีตัวอย่างของร้านที่ประสบความสำเร็จคือคาเฟ่ในภูเก็ตที่ทำยอดขายเฉลี่ย 80,000–120,000 บาท/วัน จากลูกค้าต่างชาติที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 500–700 บาท/บิล
 
2.ทำเลใกล้รถไฟฟ้า และชุมชนเมือง

จุดเด่นที่น่าสนใจคือ Foot Traffic สูงเช่นกัน เฉลี่ย 10,000 – 20,000 คน/วัน ในทำเลเหล่านี้ค่าเช่าก็ยังแพงประมาณ 1,000–2,500 บาท/ตร.ม. การเลือกเปิดร้านในทำเลเหล่านี้ก็ต้องให้สินค้ามีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์เร่งรีบเช่น, กาแฟ grab&go เป็นต้น
 
3.ทำเลโซนออฟฟิศ + คอนโดใหม่
 

ทำเลนี้จะเจาะกลุ่มคนวัยทำงาน + คนรุ่นใหม่เป็นลูกค้าหลัก ค่าเช่าในพื้นที่เหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างเฉลี่ยก็เริ่มตั้งแต่ 1,000 – 2,000 / ตร.ม. ร้านกาแฟที่จะเปิดในย่านนี้อาจต้องเน้นที่บรรยากาศเพื่อดึงดูดลูกค้าได้
 
4.ทำเลใกล้สถานศึกษา

เป็นทำเลที่หลายคนโฟกัสเปิดร้านกาแฟมาก ค่าเช่าก็จะแปรผันตามศักยภาพของทำเล เบื้องต้นประมาณ 500 – 1,000บาท/ ตร.ม. สินค้าก็ควรให้เหมาะกับพื้นที่เน้นไอเดีย เน้นความน่าสนใจ ราคาไม่แพงเกินไปเพื่อให้มีกำลังซื้อได้สม่ำเสมอ 
 
5.ทำเลย่านตลาดนัด/ย่านชุมชน
 

เป็นทำเลแบบ Local ที่มีข้อดีคือกลุ่ม Foot Traffic ค่อนข้างเยอะในช่วงเช้า และเย็น แต่กำลังซื้ออาจไม่สูงมากนัก กาแฟที่ขายต้องไม่เน้นราคาแพง แต่เน้นง่าย สะดวก เพื่อให้ตอบโจทย์กับกำลังซื้อของลูกค้า และควรเน้นที่คุณภาพและบริการที่ดีเพื่อสร้างฐานลูกค้าในระยะยาว
 
นอกจากทำเลเปิดร้านที่สำคัญเรื่องของคอนเซปต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะร้านกาแฟในปัจจุบันไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขาย “ประสบการณ์” ด้วย เช่น ร้านสไตล์มินิมอล: เน้นการตกแต่งเรียบง่าย เหมาะกับคนชอบถ่ายรูป หรือร้านกาแฟแบบ pet-friendly ที่ให้ลูกค้านำสัตว์เลี้ยงมาได้ 
 
และเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้นการออกแบบเมนูที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ ร้านกาแฟควรเสนอเมนูที่แตกต่าง เช่น กาแฟ signature, เครื่องดื่มตามฤดูกาล หรือเมนูเพื่อสุขภาพ (เช่น นมทางเลือก) 
 
หรือถ้าทำเลอยู่ในย่านท่องเที่ยว อาจเพิ่มเมนูเครื่องดื่มที่ถ่ายรูปสวยหรือมีชื่อที่เกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ จะยิ่งเพิ่มความประทับและทำให้การเปิดร้านกาแฟมีรายได้ดีมากยิ่งขึ้น
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สร้างรายได้จาก กระเบื้องยางSPC วัสดุปูพื้นยอดนิย..
529
ประกาศเซ้ง! แบรนด์แฟรนไชส์จีนหมดแรง แซงไทยไม่ไหว
452
ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?
448
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป
413
รวมเทคนิค “ดิ้นสู้” วิกฤติร้านอาหารปี 2568 ทำยัง..
405
“Gap Model” ร้านค้าทำดีทุกอย่าง แต่ทำไมลูกค้าไม..
393
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด