บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
268
7 นาที
16 ธันวาคม 2568
อวสานห้างไทยในตำนาน คน แบรนด์ สถานที่
 

ห้างสรรพสินค้าไทยตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการจับจ่าย แต่เป็นตัวชี้วัดและสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน การเจริญเติบโตของห้างในแต่ละยุคสมัย ล้วนแต่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับกำลังซื้อของผู้บริโภคและการขยายตัวของสังคมเมือง 
 
เช่นในช่วงทศวรรษ 2520–2530 ที่ GDP ของไทยเติบโตเฉลี่ย 8–9% ต่อปี การลงทุนของห้างสรรพสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ต่อปี มูลค่าพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯ สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดห้างระดับไฮเอนด์อย่างเกษรพลาซ่าและสยามเซ็นเตอร์
 
แต่การแข่งขันในตลาดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มทุนใหญ่และกลุ่มบริษัทค้าปลีกระดับชาติเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ปัญหาความสามารถในการบริหารจัดการ ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์และค่าเช่าที่สูงขึ้น จึงกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงในการอยู่รอดของห้างสรรพสินค้า ทำให้แต่ละห้างที่พอมีเงินทุนต้องเร่งปรับตัว หากไม่สามารถดึงลูกค้าได้เพียงพอ ธุรกิจจำเป็นต้องปิดกิจการ
 
ต่อมายุคดิจิทัล และ digital disruption ยิ่งเพิ่มแรงกดดัน ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตเกือบ 20–25% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 
 
 
โดย Lazada, Shopee และ JD Central ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกกว่าในราคาที่แข่งขันกับร้านในห้าง ทำให้ Demand สำหรับสินค้าบางประเภทในห้างลดลงมากกว่า 30–40% เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าไอที
 
พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ (Gen Y–Gen Z) ยังเปลี่ยนไปเน้นประสบการณ์และความสะดวกสบายมากกว่าการเดินชมสินค้าในห้างสรรพสินค้า การเข้าถึงคอนเทนต์ออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้การตัดสินใจซื้อไม่จำเป็นต้องไปหน้าร้านอีกต่อไป 
 
สุดท้าย ชะตากรรมของห้างสรรพสินค้าไทย ถูกกำหนดด้วยความสามารถในการปรับตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวท การสร้างจุดเด่นดึงดูดใหม่ หรือการปรับธุรกิจเข้ากับระบบออนไลน์ ห้างที่ปรับตัวทันสามารถอยู่รอดและเติบโต ขณะที่ห้างที่ไม่ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค ต้องปิดกิจการไปตามกฎธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจ
 
พัฒนาการของห้างสรรพสินค้าไทย
 
พัฒนาการของห้างสรรพสินค้าไทยสะท้อนทั้งการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของเมืองไทยตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา จากพื้นที่จำหน่ายสินค้าแบบตะวันตกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางของความบันเทิง ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ทางสังคม จนกระทั่งเผชิญความท้าทายจากยุคดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน
 
1. ยุคเริ่มต้นของค้าปลีกสมัยใหม่ (พ.ศ. 2367 เป็นต้นมา)
 

ภาพจาก https://citly.me/wb0Ve

ต้นกำเนิดของห้างสรรพสินค้าไทยเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวสกอต ก่อตั้งกิจการค้าปลีกแบบตะวันตกบริเวณวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี ภายใต้แนวคิด “สถานที่รวมสินค้าหลากหลาย” หรือรูปแบบที่ใกล้เคียงกับห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน มีสินค้านำเข้าอย่างผ้าฝรั่งและยาฝรั่ง สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติ แม้ว่าสังคมไทยในขณะนั้นยังคงดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำให้กิจการด้านการค้าขายยังไม่แพร่หลายมากนัก
 
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 5 ห้างของชาวตะวันตกเริ่มปรากฏมากขึ้น แต่ยังจำกัดอยู่ในวงแคบ เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าแบบสมัยใหม่ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
 
2. การเติบโตจากวัฒนธรรมตะวันตกและสังคมเมืองหลังสงครามโลก
 
วัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทย โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้รูปแบบการบริโภคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความเป็นสังคมคนเมือง
 
ย่านวังบูรพา คือ จุดเด่นสำคัญในยุคนี้ ทั้งห้างและโรงภาพยนตร์ได้ผสมผสานตัวเองเข้ากับวิถีชีวิตของวัยรุ่น กลายเป็นพื้นที่ที่มีความหมายมากกว่าเพียงสถานที่จับจ่ายสินค้า แต่เป็นพื้นที่ทางสังคมแห่งใหม่ของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น 
 
3. การขยายตัวของย่านการค้าและบทบาททางสังคม–การเมือง (พ.ศ. 2510–2520)
 

ทศวรรษ 2510–2520 เป็นช่วงที่สังคมเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ย่านราชดำริและราชประสงค์กลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ ห้างไทยไดมารูมีบทบาทต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม และยังเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แสดงให้เห็นว่าห้างเริ่มมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ทางสังคม
 
 
ปลายทศวรรษ 2513–2523 ความก้าวหน้าของตลาดค้าปลีกในประเทศเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีการเกิดขึ้นของห้างสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ทำให้ย่านสยามสแควร์เป็น “เมืองแฟชั่นของวัยรุ่น” ขณะที่เกษรพลาซ่าก้าวขึ้นเป็นตัวแทนของห้างระดับไฮเอนด์ที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการค้าปลีกแนวตะวันตกในไทย
 
4. การเติบโตของห้างเฉพาะทางและไลฟ์สไตล์ทางวัฒนธรรม (พ.ศ. 2530–2545)
 
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้ห้างสรรพสินค้าเริ่มแตกไลน์ไปสู่ “ห้างเฉพาะทาง” เช่น ไนติ้งเกล โอลิมปิค ในฐานะห้างอุปกรณ์กีฬา และพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี ไอที คอมพิวเตอร์ 
 
ในเวลาเดียวกัน แนวคิดการช็อปปิ้งแบบ “วัน–สต็อป–ช้อปปิ้ง” เริ่มได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น ทำให้บรรดาห้างต่างๆ เริ่มปรับปรุงตกแต่งห้างใหม่เป็นศูนย์รวมบริการหลากหลายประเภท ทั้งโรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นสถานที่ในการใช้เวลาเต็มวันสำหรับครอบครัวและวัยรุ่นในเมือง
 
5. ความท้าทายทางเศรษฐกิจ การแข่งขัน และการปรับตัว
 

เมื่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้น ห้างหลายแห่งต่างเผชิญปัญหาด้านเงินทุนและการบริหารจัดการ ทำให้บางห้างต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างของธุรกิจ หรือทยอยปิดกิจการ ยกตัวอย่างกรณีการควบรวมของห้างโรบินสันเข้าไปรวมกับห้างเซ็นทรัล รวมถึงการทยอยปิดตัวของห้างเมอร์รี่คิงส์ การบริหารสาขาขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณสูงทำให้ห้างจำเป็นต้อง “รีโนเวทเพื่อความอยู่รอด” เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าวที่ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ หรือเสรีเซ็นเตอร์ที่รีแบรนด์เป็น Paradise Park
 
จุดเริ่มต้นนวัตกรรมและการสร้างประสบการณ์ใหม่ของห้างไทย
 
นอกจากบทบาททางเศรษฐกิจ ห้างสรรพสินค้าไทยยังเป็นพื้นที่ริเริ่มนวัตกรรมที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับสังคมไทยในแต่ละยุคสมัย
 
1. บันไดเลื่อนแรกของไทย – ไทยไดมารู

การติดตั้งบันไดเลื่อนถือเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งครั้งสำคัญในประเทศไทย ดึงดูดผู้คนหลั่งไหลมาทดลองใช้ ความแปลกใหม่นี้ทำให้ห้างกลายเป็นสัญลักษณ์ความทันสมัย และยกระดับมาตรฐานสถาปัตยกรรมสาธารณะในเมืองไทย
 
2. ลิฟต์แก้วแห่งแรก – โรบินสัน ราชดำริ
 
ลิฟต์แก้วทำให้การเดินห้างเป็นประสบการณ์ผสมผสานการเคลื่อนที่และการชมวิวภายในอาคาร เพิ่มความหรูหรา และสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบพื้นที่เพื่อสร้างประสบการณ์มากกว่าฟังก์ชันการใช้งานเพียงอย่างเดียว
 
3. ลานสเก็ตน้ำแข็ง – อิมพิเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว
 
ภาพจาก https://citly.me/UDVOE

การสร้างลานสเก็ตน้ำแข็งเป็นการนำกิจกรรมนันทนาการจากต่างประเทศเข้ามาสู่สังคมเมืองในไทย วัยรุ่นมีพื้นที่พบปะกันใหม่ๆ และทำให้ห้างเป็นศูนย์รวมกิจกรรมไลฟ์สไตล์มากกว่าสถานที่ซื้อสินค้า
 
4. เพนกวินในห้าง – พาต้าปิ่นเกล้า
 
การนำสัตว์ต่างถิ่นอย่างเพนกวินมาแสดงสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่เด็กและครอบครัว และทำให้ห้างพาต้าปิ่นเกล้าเป็นพื้นที่เรียนรู้และสร้างประสบการณ์ในเชิงเรื่องเล่า ซึ่งต่อมาถูกพัฒนาต่อยอดในห้างต่างๆ
 
5. อควาเรียมกลางห้าง – สยามพารากอน
 
ภาพจาก https://citly.me/3TwlL

การเปิด Siam Ocean World ถือเป็นการยกระดับห้างไทยไปสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวระดับนานาชาติ การสร้างอุโมงค์น้ำขนาดใหญ่และพื้นที่จัดแสดงสัตว์ทะเล ทำให้ห้างกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และความบันเทิงครบวงจรที่ดึงดูดทั้งคนไทยและต่างชาติ 
 
จากยุครุ่งเรืองสู่การปิดตัวของห้างไทย
 
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในไทยทยอยปิดตัวลง ด้วยเหตุผลต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน การระบาดโควิด ไปจนถึงการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น โดยตัวอย่างของห้างเก่าแก่ที่ปิดกิจการมีดังนี้
 

ภาพจาก www.tanghuaseng.com

1.ตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2534 แต่ต้องปิดตัวไม่มีกำหนดหลังได้รับแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวงให้ยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ หากสำเร็จจะกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง
 
2.โรบินสัน ศรีนครินทร์ ให้บริการมายาวนานถึง 30 ปี ก่อนจะปิดวันสุดท้ายเมื่อ 20 สิงหาคม 2567 หลังจากนี้โรบินสันที่ยังเปิดให้บริการมีเพียง 3 สาขา ได้แก่ สุขุมวิท บางรัก และลาดกระบัง
 
3.เมอร์รี่คิงส์ (Merry Kings) มีทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ วังบูรพา, สะพานควาย, วงเวียนใหญ่, รังสิต, ปิ่นเกล้า และบางใหญ่ หนึ่งในสาขาที่เป็นที่คุ้นเคยมากที่สุดคือ วงเวียนใหญ่ เนื่องจากตกแต่งด้วยกระจกสวยงาม แต่หลายสาขาต้องปิดตัวลงเพราะการแข่งขันสูง ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจปี 2540
 
3.นิวเวิลด์ (New World) ห้างย่านบางลำพู มีจุดเด่นคือ ลิฟต์แก้ว ก่อตั้งปี 2526 แต่ปิดตัวอย่างถาวรในปี 2548 หลังเกิดอุบัติเหตุสิ่งก่อสร้างถล่ม มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บหลายราย
 
4.ไทย ไดมารู (Thai Daimaru) ห้างสัญชาติญี่ปุ่นที่ติดตั้งบันไดเลื่อนเป็นแห่งแรกในไทย เปิดบริการตั้งแต่ 10 ธันวาคม 2507 ก่อนปิดเมื่อ 31 ตุลาคม 2543 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก และวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540
 
ภาพจาก https://citly.me/sAD2Z

5.โตคิว (TOKYU) ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง เปิดบริการตั้งแต่ปี 2528 ปิดตัวถาวรเมื่อ 31 มกราคม 2564 เนื่องจากวิกฤตการเงินและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
 
6.กาดสวนแก้ว ศูนย์การค้าชื่อดังของเชียงใหม่ เปิดบริการมาตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์ 2535 แต่ปิดตัวเมื่อ 1 กรกฎาคม 2565 ด้วยปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคระบาด
 
7.คลังพลาซ่า (Klang Plaza) นครราชสีมา เปิดมายาวนานถึง 36 ปี ตั้งแต่ปี 2529 ก่อนปิดตัวลงไปเมื่อ 4 มิถุนายน 2565 โดยมีปัจจัยสำคัญจากผลกระทบจากการระบาดโควิ-19
 
8.พรอมเมนาดา เชียงใหม่ ศูนย์การค้ารูปแบบยุโรป-สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เปิดปี 2556 ด้วยเงินลงทุน 2,800 ล้านบาท แต่จำนวนผู้ใช้บริการต่ำกว่าคาด หลัง COVID-19 ทำยอดลดเหลือหลักพันต่อวัน ปิดกิจการ 5 พ.ค. 2565 ขณะนี้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 24 แปลง กำลังขายทอดตลาดในราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท 
 
9.เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ เปิดให้บริการครั้งแรกปี 2532 แต่ดำเนินกิจการได้ไม่นานก็ปิดตัวลง จุดเด่นในสมัยนั้นคือ ลานไอซ์สเก็ต ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น ก่อนที่พื้นที่จะถูกพัฒนาเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ ในปี 2550
 
ภาพจาก https://citly.me/aGXEk

10.ห้างโซโก้ (Sogo) กรุงเทพฯ เป็นห้างสัญชาติญี่ปุ่น เปิดให้บริการปี 2525 ในอดีตถือเป็นห้างหรูที่วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันจะมาเดิน แต่สุดท้ายห้างต้องปิดตัวลง ปัจจุบันพื้นที่กลายเป็น อัมรินทร์พลาซ่า  
 
11.อิเซตัน (Isetan) เปิดครั้งแรกที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่สิ้นสุดสัญญาเช่ากับ CPN ในปี 2563 ล่าสุดช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ได้ประกาศว่าอิเซตันจะกลับมาในรูปแบบ “มิตซูโคชิ ซูเปอร์มาร์เก็ต-ฟู้ดฮอลล์” ที่ One Bangkok 
 
12.Jusco เข้ามาเปิดสาขาในไทยช่วงปลายปี 2523 มีหลายสาขาในกรุงเทพและปริมณฑล เช่น รัชดาภิเษก, พัฒนาการ, สุขาภิบาล 1, บางบอน และหลักสี่ แต่กิจการในไทยต้องเลิกไปในปี 2541 ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตต้มยำกุ้ง และการแข่งขันสูง ปัจจุบันหลายสาขาถูกปรับเป็นแบรนด์อื่นในเครือ เช่น MaxValu
 
13.ห้างคาเธ่ย์ (Cathay) ย่านเยาวราช กรุงเทพฯ เปิดให้บริการในช่วงปี 2523 ถือเป็นห้างเก่าแก่ของเมืองไทยที่มีทั้งดีพาร์ตเมนต์สโตร์และโรงภาพยนตร์ จุดเด่นคือเป็นแหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงสำคัญในอดีต ปิดตัวลงในราวๆ ปี 2543 หลังวิกฤตเศรษฐกิจ และบริษัทถูกขึ้นสถานะ “ร้าง” อย่างเป็นทางการในปี 2561 
 
14.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ห้างไอทีในตำนานของไทย เปิดให้บริการครั้งแรกปี 2527 โด่งดังในในฐานะศูนย์รวมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที ซอฟต์แวร์ เกม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร ตอบโจทย์ทั้งคนรักไอทีและเกมเมอร์ ก่อนจะค่อยๆ สูญเสียความนิยมเนื่องจากร้านค้าออนไลน์และห้างทั่วไปสามารถจำหน่ายสินค้าไอทีได้สะดวกขึ้น และสุดท้ายปิดให้บริการในบทบาทห้างไอทีเดิมช่วงปี 2566-2567 พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์ค้าส่งภายใต้ชื่อใหม่ AEC Food Wholesale Pratunam 
 
15.ตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ห้างดังในตำนานของไทย เปิดบริการครั้งแรกปี 2505 เริ่มจากร้านขายเครื่องเย็บปักถักร้อยและอุปกรณ์ฝีมือ ปรับเปลี่ยนมาจากชื่อเดิม “ห่วงเส็ง” ที่เปิดขายถ้วยชาม ก่อนกลายเป็นสาขาบางลำพูที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 62 ปี เปิดบริการวันสุดท้าย 20 พฤศจิกายน 2568

สาเหตุของการนำไปสู่การปิดตัวของห้างในประเทศไทย
1. การแข่งขันจากอีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์
 

ภาพจาก https://app.envato.com

ในช่วง 10–15 ปีที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟนที่ครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มอายุ แพลตฟอร์มอย่าง Lazada, Shopee หรือ JD Central ได้เข้ามานำเสนอประสบการณ์ “ช้อปง่าย รวดเร็ว ราคาถูกกว่า” ซึ่งดึงลูกค้าออกจากห้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยเสริม เช่น
 
การจัดส่งฟรี, ส่วนลด, คูปอง และ Flash Sale ซึ่งห้างแบบดั้งเดิมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเปรียบเทียบราคา ทำให้ร้านค้าเล็กๆ เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศโดยไม่ต้องเช่าพื้นที่ในห้าง สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางหรือเสียเวลาไปเดินห้าง 
 
ส่งผลให้ยอดขายในร้านค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าแฟชั่นในห้างลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะห้างที่ยังยึดโมเดลการขายสินค้ามากกว่าการขายประสบการณ์
 
2. ต้นทุนดำเนินงานสูงและการขยายสาขาที่เกินตัว
 

ห้างสรรพสินค้าเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ทั้งในการก่อสร้าง การจัดทำระบบภายใน และการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ไม่มีการปรับตัวก็เริ่มอ่อนแรงลง โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
 
ค่าเช่าที่ดินในเมืองเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทำให้ห้างที่ตั้งอยู่ในทำเลทองต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงตามไปด้วย ประกอบกับค่าแรงและค่าไฟที่เพิ่มสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะห้างเก่าที่ระบบอาคารแบบเก่าไม่ประหยัดพลังงาน
 
ค่ารีโนเวทหรือปรับปรุงห้างมีมูลค่าสูง ทำให้หลายห้างไม่สามารถปรับตัวทันความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ ประกอบกับการขยายสาขาที่รวดเร็วเกินไปในช่วงเศรษฐกิจดี แต่ไม่มีฐานลูกค้าเพียงพอเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว สุดท้ายทำให้รายได้ไม่สมดุลกับต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้หลายห้างต้องทยอยปิดสาขาเพื่อลดภาระทางการเงิน
 
3. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
 

คนรุ่นใหม่ (Gen Y และ Gen Z) มีรูปแบบการใช้ชีวิตต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่าสินค้า พวกเขามองหากิจกรรมเฉพาะตัว เช่น คาเฟ่ที่มีคอนเซปต์ หรือ ร้านดีไซน์เฉพาะทาง รวมถึงสเปซที่สามารถสร้างคอนเทนต์มากกว่าการไปเดินห้างเพื่อดูสินค้าทั่วไป
 
ไม่ว่าจะเลือกไปเดินคอมมูนิตี้มอลล์และร้านเฉพาะทาง เพราะเล็กกว่า เข้าถึงง่าย ไม่แออัด และมีพื้นที่ไลฟ์สไตล์หลากหลาย เช่น เวิร์กช็อป ร้านสัตว์เลี้ยง ร้านไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม ต้องการความรวดเร็ว ไม่ชอบเดินทางไกล
 
ประกอบกับห้างยุคเก่ามักมีโครงสร้างขนาดใหญ่ มีหลายชั้น หาร้านที่ต้องการลำบาก ทำให้ไม่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นเท่าที่ควร ก่อให้เกิดเทรนด์ช้อปปิ้งแบบผสม ผู้บริโภคส่วนหนึ่งเลือกดูสินค้าหน้าร้านแล้วไปซื้อออนไลน์ในราคาที่ถูกกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ห้างที่ไม่ได้ปรับสเปซหรือคอนเซปต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคสมัยใหม่ต้องเผชิญปัญหาอย่างรุนแรง
 
4. การเปลี่ยนรุ่นผู้บริหารและโครงสร้างธุรกิจครอบครัว
 

ห้างไทยจำนวนมากเป็นกิจการครอบครัวที่เริ่มจากผู้ก่อตั้งในยุคที่การแข่งขันยังไม่สูง เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ขาดการสืบทอดการบริหารธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ผู้บริหารรุ่นเก่าอาจคุ้นกับวิธีบริหารแบบเดิม ขณะที่ผู้บริหารรุ่นใหม่อาจไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ไม่มีข้อมูลด้านการตลาดที่ทันสมัย ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ตอบสนองความต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ประกอบกับปัญหาความเห็นที่ไม่ลงรอยกันภายในครอบครัว ส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุน
 
บางครั้งไม่สามารถแข่งขันกับเครือใหญ่ที่มีทุนหนาและกำลังทรัพยากรสูงกว่า เช่น กลุ่มเซ็นทรัล เดอะมอลล์ หรือเครือค้าปลีกต่างชาติ จึงไม่น่าแปลกที่กิจการบางแห่งไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมค้าปลีกยุคใหม่
 
5. ผลกระทบจากโควิด-19
 
การระบาดโควิด-19 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” ของภาคธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย รัฐบาลได้ออกมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ห้างต่างๆ ต้องปิดให้บริการเป็นเวลานานหลายเดือน ทำให้ขาดรายได้ไปโดยปริยาย
 
ขณะที่ผู้บริโภคต่างหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด แม้ห้างทำการ Reopened แต่ก็ยังมีปริมาณคนไปเดินห้างลดลงอย่างมาก ประกอบกับผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันไปซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบร้านค้าที่เช่าในห้างหลายรายต้องปิดกิจการ ทำให้ห้างสูญเสียรายได้จากค่าเช่าอย่างรุนแรง
 
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในด้านสุขอนามัยเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การทำความสะอาด รับพนักงานเพิ่ม การจัดโซนปลอดภัย ในที่สุดห้างที่มีสภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว จึงไม่สามารถประคองตัวและจำเป็นต้องปิดกิจการในที่สุด 
 
ห้างในตำนานที่เกือบจะหลับ แต่กลับมาได้ 
1.เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ / เซ็นทรัลเวิลด์
 

ในปี 2507 นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นสร้างห้าง “ไทยไดมารู” ซึ่งเป็นห้างสมัยใหม่แห่งแรกของไทย มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ ต่อมาที่ดินใกล้กันกลุ่มเซ็นทรัลสร้าง “เซ็นทรัล ราชประสงค์” ก่อนที่ไทยไดมารูจะย้ายไปฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันคือ Big C ราชดำริ
 
ปี 2525 บริษัท วังเพชรบูรณ์สร้างโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในชื่อ “เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” เปิดห้างในปี 2532 มี ZEN และอิเซตันสาขาแรกของไทย จากนั้นปี 2545 บริษัทประสบปัญหาการเงิน ทำให้เซ็นทรัลเข้ามาพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ ในปี 2550 พร้อมต่อเติมอาคารสำนักงาน โรงแรม และปรับปรุงศูนย์การค้า ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กใจกลางกรุงเทพฯ พื้นที่กว่า 830,000 ตร.ม. และยังเป็นจุดจัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ได้รับความนิยม
 
2.มาบุญครอง / MBK Center
 

เปิดบริการปี 2528 โดยครอบครัวศิริชัย บูลกุล เริ่มจากรวมร้านแบรนด์เนมและห้างญี่ปุ่น “โตคิว” ต่อมาในปี 2538 สร้างโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส และปรับโฉมห้างเป็นพื้นที่เล็กลง เพื่อรองรับร้านขายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งได้รับความนิยมสูง
 
ปี 2543 เปลี่ยนชื่อเป็น MBK Center ปรับตัวไปโฟกัสนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดึงร้านค้าอุปโภค-บริโภคและของฝากครบวงจร ปัจจุบันยังร่วมมือกับสยามพิวรรธน์พัฒนาย่านสยามให้เป็นย่านค้าปลีกระดับโลก
 
3.แฟชั่นไอส์แลนด์
 

ภาพจาก www.fashionisland.co.th

เปิดบริการปี 2538 ตั้งใจเป็นศูนย์กลางย่านตะวันออกของกรุงเทพฯ ในช่วงแรกคนยังน้อยเพราะพื้นที่รอบๆ ยังไม่เจริญ แต่เมื่อเมืองขยายและหมู่บ้านเกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์เริ่มคึกคัก
 
ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทเจ้าของห้าง ที่ดึงร้านค้าชั้นนำและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค ทำให้แฟชั่นไอส์แลนด์กลายเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านรามอินทรา มีร้านค้ากว่า 600 ร้าน และรองรับผู้เข้าชมกว่า 120,000 คนต่อวัน
 
สิ่งที่เห็นจากเรื่องราวเหล่านี้ คือ แม้ห้างจะเจออุปสรรคหนักหนาสาหัส หากสามารถปรับตัวและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถอยู่รอด และเติบโต เป็นที่นิยมชื่นชอบของผู้บริโภคต่อไป ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกคน
 
สรุป
 

ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย จากยุคเริ่มต้นของห้างขนาดใหญ่ที่เน้นการจำหน่ายสินค้าจำนวนมาก ไปสู่ห้างไลฟ์สไตล์และคอมมูนิตี้มอลล์ที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ครบวงจร ทั้งด้านช้อปปิ้ง ความบันเทิง และการเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว
 
สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความหลากหลายของสินค้า และประสบการณ์เชิงกิจกรรมมากกว่าการซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว 
 
ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับแนวทาง Hybrid Shopping, การใช้เทคโนโลยีและช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือสนับสนุน, การบริหารต้นทุนและค่าเช่าอย่างรอบคอบ รวมถึงการสร้างความแตกต่างในเชิงประสบการณ์ ที่แพลตฟอร์มออนไลน์ไม่สามารถทดแทนได้ 
 
กรณีห้างเก่าแก่หลายแห่งที่ต้องปิดกิจการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า หากผู้ประกอบการไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและไม่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ธุรกิจค้าปลีกมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียตลาดและการปิดกิจการในที่สุด
 
แหล่งข้อมูล 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
626
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
492
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
463
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
431
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
398
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
386
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด