บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
360
5 นาที
24 ตุลาคม 2568
วุฒิศักดิ์คลินิก คลินิกความงามในห้าง วันนี้หายไปไหน
 

ถ้าพูดถึงธุรกิจความงามในประเทศไทย เชื่อว่าคงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก “วุฒิศักดิ์คลินิก” เพราะเป็นคลินิกดูแลความงามที่มีสาขาทั้งในและต่างประเทศ มีความโดดเด่นด้วยแคมเปญโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ มีพรีเซนเตอร์ชื่อดังของเมืองไทยมากมาย ที่สำคัญมีภาพลักษณ์ของคลินิกความงามที่ทันสมัย ใกล้ชิดผู้บริโภคเป็นอย่างมาก 
 
ด้วยจำนวนสาขาที่เคยสูงกว่า 130 แห่ง และมีมูลค่าธุรกิจในช่วงพีคที่เคยประเมินกันว่าแตะระดับหลายพันล้านบาท วุฒิศักดิ์คลินิกเคยถูกมองว่าเป็น “เบอร์หนึ่งของวงการความงาม” ในประเทศไทย
 
อย่างไรก็ตาม ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของวุฒิศักดิ์คลินิกค่อยๆ เงียบหายไปจากหน้าสื่อ หลายๆ สาขาทยอยปิดตัวลง ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มตั้งคำถาม และนักลงทุนก็เริ่มหันไปจับตาธุรกิจความงามรายอื่นแทน
 
คำถามสำคัญ คือ เกิดอะไรขึ้นกับวุฒิศักดิ์คลินิก?
 
ทำไมแบรนด์ที่เคยยิ่งใหญ่ จึงเดินมาถึงจุดเปลี่ยน?
 
และบทเรียนใดที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรเรียนรู้จากกรณีนี้?
 
บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนสำรวจเส้นทางของวุฒิศักดิ์คลินิก ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองจนถึงจุดล่มสลาย พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง และเปรียบเทียบกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อถอดบทเรียนทางธุรกิจไว้เป็นกรณีศึกษา 
 
จุดเริ่มต้น...วุฒิศักดิ์คลินิก
 

ภาพจาก https://citly.me/Cf9QM

วุฒิศักดิ์คลินิก เริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้านความงามและผิวพรรณอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2545 โดยเปิดให้บริการสาขาแรกที่ “งามวงศ์วาน” ก่อตั้งโดย นายแพทย์วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช, คุณพลภัทร จันทร์วิเมลือง และ คุณณกรณ์ กรณ์หิรัญ 
 
ทั้ง 3 คน ล้วนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในธุรกิจคลินิกเสริมความงาม โดยเฉพาะนายแพทย์วุฒิศักดิ์ เคยเป็นอดีตพนักงานของนิติพลคลินิก หนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของตลาดขณะนั้น
 
ด้วยแนวคิดและสโลแกน “เพราะความสวยรอ...ไม่ได้” ช่วยให้วุฒิศักดิ์คลินิกสามารถสร้างการรับรู้ในตลาดความงามได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังทุ่มงบด้านการตลาดอย่างมหาศาล และการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ดาราและศิลปินชื่อดังของประเทศไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่โดดเด่นในยุคนั้น
 
“วุฒิศักดิ์คลินิก” ในยุคแรกๆ อยู่ภายใต้บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 20 ส.ค. 2546 ต่อมาแปรสภาพเป็น บริษัท วุฒิศักดิ์ คอสเมติก จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 16 ส.ค. 2550 เลิกกิจการ  9 ส.ค. 2555
 
ถัดมาจัดตั้ง บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) วันที่ 4 ม.ค. 2553 เลิกกิจการ 9 ส.ค. 2555
  • ปี 2553 รายได้ 1,907 ล้านบาท กำไร 106 ล้านบาท
  • ปี 2554 รายได้ 2,424 ล้านบาท กำไร 128 ล้านบาท
รูปแบบการบริหารของ 3 หุ้นส่วน
 

ภาพจาก https://citly.me/zxPTb

เพื่อบริหารกิจการขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง 3 คนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
  • หมอวุฒิศักดิ์ รับผิดชอบเรื่องการแพทย์
  • คุณณกรณ์ ดูแลด้านการตลาด การเงิน และนวัตกรรม
  • คุณพลภัทร รับผิดชอบด้านสถานที่และโลเคชั่น
ระบบทำงานมีลักษณะใกล้เคียงกับ “โรงเรียนการแพทย์ความงาม” มีแพทย์กว่า 100 คน ผ่านการอบรมเข้มข้น และสามารถให้บริการลูกค้าได้วันละหลักร้อยราย ช่วงขยายตัวและรายได้ระดับพันล้าน
 
ความสำเร็จในช่วงปีทองทำให้วุฒิศักดิ์กลายเป็นผู้นำในตลาดความงามในเมืองไทย
  • รายจ่ายต่อเดือนสูงถึง 200 ล้านบาท
  • จำนวนลูกค้าต่อวันในแต่ละสาขาหลักร้อยคน
  • ใช้ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์มาตรฐานสูงระดับโรงพยาบาลชั้นนำ
บริษัทสามารถสร้างรายได้ระดับพันล้านต่อปี และไม่เคยมีคำว่า “ขาดทุน” ในช่วงที่ยังอยู่ในการบริหารของผู้ก่อตั้งกลุ่มแรก
 
ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง และการให้บริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้วุฒิศักดิ์คลินิกสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วทั่วประเทศ เคยมีสาขาในประเทศไทยสูงสุดถึง 130 สาขา ขยายสู่ต่างประเทศอีก 11 สาขา ได้แก่ ลาว, กัมพูชา, เมียนมา และเวียดนาม
 
วุฒิศักดิ์คลินิก สามารถสร้างผลประกอบการที่โดดเด่นในช่วงแรก ภายใต้บริษัท บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด
  • ปี 2555 รายได้ 2,896 ล้านบาท กำไร 594 ล้านบาท
  • ปี 2556 รายได้ 3,499 ล้านบาท กำไร 414 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในช่วงขาขึ้นของธุรกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนและกลุ่มทุนขนาดใหญ่เริ่มให้ความสนใจเข้ามาซื้อกิจการ

การขายหุ้นบางส่วน จุดเปลี่ยนครั้งที่ 1
 
เพื่อกระจายความเสี่ยงและรองรับค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล กลุ่มผู้ก่อตั้งได้ตัดสินใจขายหุ้นบางส่วนให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับ “ซิตี้แบงก์”
  • ขายหุ้นประมาณ 30-35% ได้เงินกว่า 3,000 ล้านบาท
  • มูลค่าบริษัทในเวลานั้นประเมินสูงถึง 8,000 ล้านบาท
  • แม้ยังถือหุ้นอยู่ แต่กลุ่มผู้ก่อตั้งเริ่มลดบทบาทในการบริหารลง
การเปลี่ยนมือสู่ EFORLจุดเปลี่ยนครั้งที่ 2
 
หลังจากกลุ่มทุนต่างชาติถอนตัว ในปี 2557 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ได้เข้าซื้อกิจการวุฒิศักดิ์คลินิก ด้วยมูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท โดยถือหุ้น 51% มีเป้าหมายเพื่อขยายสู่ธุรกิจความงามที่มีศักยภาพสูง และเสริมพอร์ตธุรกิจของ EFORL ที่เป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์อยู่เดิม 
 
อย่างไรก็ตาม EFORL ไม่ได้มีเงินทุนมากพอสำหรับการซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้ต้องกู้เงินจากธนาคารกว่า 3,000 ล้านบาท และใช้บริษัทลูกชื่อ WCIH ในการถือหุ้นในวุฒิศักดิ์ 
 
คุณณกรณ์เข้ามาบริหารอีกครั้งในช่วงปีแรกหลังเปลี่ยนมือ
  • สร้างยอดขายเพิ่มจาก 70 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท ภายในปีเดียว
  • เตรียมแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์
  • ใช้พรีเซนเตอร์ระดับชาติ เช่น เจมส์จิรายุ, หนูแหม่ม, กบ ปภัสรา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน คุณณกรณ์ถูกถอดจากการบริหารอีกครั้ง ทำให้กิจการเปลี่ยนมือผู้บริหารอีกครั้ง

ปัญหาภายในและการบริหารผิดทาง
 
ภาพจาก https://citly.me/HM7oZ

หลังเปลี่ยนทีมบริหาร ปัญหาหลายอย่างเริ่มปรากฏอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
 
1.ลดจำนวนแพทย์อย่างรวดเร็ว
 
มีการลดจำนวนหมอลงถึง 30 คน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคุณภาพบริการลูกค้า ต่อมาต้องรับหมอใหม่กลับเข้ามา พร้อมเพิ่มเงินเดือน 20% ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
 
2.การขายแฟรนไชส์ผิดที่ผิดเวลา
 
สาขาที่ทำรายได้ดีถูกขายออกไป ขณะที่บริษัทเก็บไว้สาขาที่ขาดทุนไว้ ส่งผลให้กระแสเงินสดหาย รายได้ลด แต่ต้นทุนยังสูง
 
3.นโยบายการทำตลาดไม่ชัดเจน
 
เปลี่ยนแนวทางการสื่อสารและกลุ่มเป้าหมายเร็วเกินไป เช่น การเปลี่ยนจากพรีเซนเตอร์ดาราที่มีชื่อเสียงไปเป็นกลุ่มวัยรุ่น
 
4.ต้นทุนจากการใช้เวชภัณฑ์สูง
 
วุฒิศักดิ์ยังคงใช้ยาและอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานสูง ขณะที่คู่แข่งรายเล็กใช้ยาราคาถูก ทำให้ต้นทุนสูง ไม่สามารถแข่งขันราคาได้
 
ความเสียหายและการถอนตัว
 
คุณณกรณ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวุฒิศักดิ์คลินิก ยอมรับว่าเขาได้รับความเสียหายจากการถือหุ้นและลงทุนรวมแล้วกว่า 800–900 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทประสบกับปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง
 
เมื่อเห็นทิศทางการบริหารธุรกิจไม่สอดคล้องกับแนวทางบริหารเดิม จึงตัดสินใจลาออกและถอนตัวจากธุรกิจ แม้เขาจะเหลือถือหุ้นเพียงประมาณ 10% แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ อีก
 
ภาพทรงจำของคนไทยก็คือ “คุณณกรณ์ เป็นเจ้าของวุฒิศักดิ์” ทั้งที่ตัวเขาออกไปแล้ว คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าเขาคือเจ้าของในช่วงที่วุฒิศักดิ์ขาดทุน ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหายมาก
 
ธุรกิจถดถอยและขาดทุนต่อเนื่อง
 
ภาพจาก https://citly.me/drCDx

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทมหาชน แต่ผลประกอบการของวุฒิศักดิ์คลินิกกลับลดลงอย่างต่อเนื่องหลังการเข้าซื้อกิจการ โดยตั้งแต่ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ที่จัดตั้งเมื่อ 23 ก.พ. 2555 ด้วยเงินทุน 1,533,950 บาท 
 
ผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คือ หมอวุฒิศักดิ์, คุณณกรณ์ และ คุณพลภัทร ไม่ได้มีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัท แต่มีคณะกรรมการบริษัทใหม่ประกอบด้วย นายอนันตพงษ์ เทพช่วยสุข นายสุพจน์ อาวาส และนายอำนาจ บูจีระ
 
แต่ปัจจุบันจากการตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เหลืองเพียง นายอำนาจ บูจีระ เป็นกรรมการบริษัท  
  • ปี 2557 รายได้ 2,922 ล้านบาท กำไร 71 ล้านบาท
  • ปี 2558 รายได้ 2,584 ล้านบาท กำไร 150 ล้านบาท
  • ปี 2559 รายได้ 1,623 ล้านบาท ขาดทุน -528 ล้านบาท
  • ปี 2560 รายได้ 481 ล้านบาท ขาดทุน -665 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2559 บริษัทเข้าสู่ภาวะขาดทุนอย่างชัดเจน จากหลายปัจจัย ทั้งการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และการบริหารภายในที่มีข้อจำกัด
  • ในปี 2561-2562 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง โดยขาดทุนรวมกว่า 1,170 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 535 ล้านบาท ขาดทุน 112 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้ 173 ล้านบาท ขาดทุน 1,058 ล้านบาท
การยื่นฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง 
 
เมื่อสถานการณ์ทางการเงินถึงจุดวิกฤติ ในวันที่ 27 เมษายน 2563 บริษัท วุฒิศักดิ์ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยระบุว่าบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ยังมีโอกาสและความสามารถในการฟื้นฟูกิจการ
 
ศาลได้กำหนด ไต่สวนคำร้องในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงให้กับวงการคลินิกความงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิติพลคลินิก ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ กลายเป็นผู้รอดในขณะที่วุฒิศักดิ์ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
 
"วิชัย ทองแตง" กับความพยายามยื้อ
 
ในปี 2561 บริษัท EFORL ได้เพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง โดยมี นายวิชัย ทองแตง นักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจสุขภาพ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 22.68% พร้อมทีมบริหารชุดใหม่ที่พยายามพลิกฟื้นธุรกิจความงาม
 
ความพยายามเหล่านั้นรวมถึง
  • ขยายสาขาและเปิดแฟรนไชส์
  • เพิ่มไลน์สินค้า เช่น เครื่องสำอาง
  • ขยายช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งการถดถอยของธุรกิจได้ และภายในปี 2562 ธุรกิจความงามกลายเป็นเพียง 9.6% ของรายได้รวมของบริษัท และยังมีขาดทุนขั้นต้นกว่า 43 ล้านบาท
 
สุดท้าย EFORL ตัดสินใจถอนตัวจากธุรกิจความงาม โดยประกาศขายหุ้นทั้งหมดของ WCIH (บริษัทแม่ของวุฒิศักดิ์คลินิก) แลกกับที่ดิน เพื่อกลับไปโฟกัสกับธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก
 
“วุฒิศักดิ์ - นิติพล คลินิก” คู่แข่งที่ยังมีลมหายใจ
 
ภาพจาก https://citly.me/ycm06

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (ยังดำเนินกิจการอยู่) สำนักงานใหญ่ตั้งอยี่ที่ 120 หมู่ที่ 2 ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีนายอำนาจ บูจีระ มีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัท   
 
ส่วนบริษัท นิติพล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (ยังดำเนินกิจการอยู่) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 61 ซอยลาดพร้าว 115 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 

พบว่าผลประกอบการช่วงปี 2563-2567 ดังนี้ 
  • ปี 2563 รายได้ 1,241 ล้านบาท กำไร 45 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 1,018 ล้านบาท ขาดทุน -1.3 ล้านบาท 
  • ปี 2565 รายได้ 1,374 ล้านบาท กำไร 107 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 1,284 ล้านบาท ขาดทุน -10 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 1,218 ล้านบาท ขาดทุน - 68 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าแม้จะมีรายได้ “นิติพลคลินิก” ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอเฉลี่ยกว่า 1,200 ล้านบาทต่อปี แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลงและกลับเข้าสู่ภาวะขาดทุนในช่วงปี 2566–2567 ซึ่งอาจสะท้อนถึง
  • ต้นทุนที่สูงขึ้น
  • การแข่งขันที่รุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
  • ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่กระทบต่อการใช้จ่ายในสินค้าและบริการไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม การที่รายได้ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางตลาด และความนิยมของแบรนด์นิติพล โดยปัจจุบันมีสาขาราวๆ 130 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เปิดบริการตามห้างสรรพสินค้า
 
ส่วน “วุฒิศักดิ์คลินิก” เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงปี 2550–2560 โดยมีสาขากว่า 130 แห่งทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้สูงสุดและเคยขายหุ้นให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติด้วยมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท
 
ในปี 2563 วุฒิศักดิ์คลินิกมีสาขาเหลืออยู่เพียง 19 สาขา ส่วนปัจจุบันจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ https://salehere.co.th/wuttisak-clinic/branches วุฒิศักดิ์คลินิก เหลือสาขาเพียง 7 สาขาเท่านั้น 
 
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหารหลายรอบ ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในกลยุทธ์ธุรกิจ ความคลาดเคลื่อนในการควบคุมคุณภาพ รวมถึงการตัดสินใจทางการเงินที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาด
 
ส่งผลในช่วงหลังบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่อง และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
 
บทเรียนจากกรณี “วุฒิศักดิ์คลินิก”

ภาพจาก https://citly.me/Phtjz

บทเรียนที่สามารถถอดได้จากกรณีนี้ ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งเชิงกลยุทธ์ การบริหาร การเงิน และความเข้าใจในตลาด
 
1. การขยายกิจการอย่างรวดเร็ว โดยขาดแผนระยะยาว
 
แม้การขยายตัวอย่างรวดเร็วจะสะท้อนถึงความสำเร็จในช่วงต้น แต่หากไม่มีแผนการรองรับในระยะยาว ก็อาจสร้างปัญหาในภายหลัง เช่น
  • การเปิดสาขาจำนวนมากเกินความสามารถในการบริหาร
  • ต้นทุนดำเนินการที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างแพทย์ และค่าโฆษณา
  • การเร่งเติบโตโดยใช้ภาพลักษณ์ มากกว่าผลกำไรที่ยั่งยืน
ในกรณีวุฒิศักดิ์ มีรายจ่ายประจำเดือนสูงถึง 200 ล้านบาท ในขณะที่ต้องรักษาคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งกลายเป็นภาระหนักหากรายได้ไม่เติบโตสอดคล้องกัน
 
2. ขาดความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
 
พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดความงามมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น
  • ความนิยมจาก “การดูแลผิว” เปลี่ยนไปสู่ “การศัลยกรรม” หรือบริการเฉพาะทาง
  • ลูกค้าหันไปหาคลินิกเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น
  • ความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนจาก “ชื่อแบรนด์” เป็น “ผลลัพธ์” และ “ประสบการณ์ส่วนบุคคล”
วุฒิศักดิ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านไม่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ทัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดถูกกระจายไปยังผู้เล่นรายใหม่ที่ปรับตัวได้เร็วกว่า
 
3. กู้เงินซื้อกิจการ ไม่เชี่ยวชาญธุรกิจการแพทย์
 
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวุฒิศักดิ์ คือการที่นักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อกิจการด้วยมูลค่าหลายพันล้านบาท ผ่านการกู้เงินโดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระยะสั้น
 
แต่เมื่อผู้บริหารใหม่ไม่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจบริการทางการแพทย์ ซึ่งต้องอาศัยบุคลากร ความสัมพันธ์กับลูกค้า และความเข้าใจเชิงลึก จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมต้นทุนและรักษารายได้ได้อย่างที่คาดหวัง ผลที่ตามมาคือยอดขายลดลง ต้นทุนสูงขึ้น และเกิดการขาดทุนสะสมในเวลาอันรวดเร็ว
 
4. ระบบแฟรนไชส์ที่ไม่แข็งแรง
 
แม้ว่าระบบแฟรนไชส์จะเป็นเครื่องมือช่วยขยายสาขาได้รวดเร็ว แต่หากไม่มีการควบคุมคุณภาพ และไม่มีระบบสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง จะกลายเป็นช่องโหว่สำคัญของแบรนด์ ในกรณีนี้
  • สาขาที่มีรายได้ดีถูกขายออกไปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระยะสั้น
  • สาขาที่เหลืออยู่กลับเป็นสาขาที่มีปัญหาด้านทำเลหรือขาดกำไร
  • การควบคุมคุณภาพของบริการไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหาย
5. เปลี่ยนมือผู้บริหารโดยไม่เข้าใจบริบทของธุรกิจเดิม
 
ธุรกิจบริการทางการแพทย์ไม่สามารถบริหารแบบโรงงานอุตสาหกรรม หรือธุรกิจเชิงตัวเลขทั่วไปได้ เพราะขึ้นอยู่กับคนและประสบการณ์เป็นหลัก เช่น
  • แพทย์ที่มีความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • ทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทาง
  • กระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
การเปลี่ยนมือผู้บริหารใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานในธุรกิจนี้ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนที่ผิดพลาด เช่น การลดจำนวนแพทย์อย่างรวดเร็ว การเน้นผลกำไรมากกว่าคุณภาพ ส่งผลให้เกิดภาวะสูญเสียความเชื่อมั่น ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
 
สรุป ธุรกิจที่เติบโตเร็วอาจไม่ยั่งยืน หากขาดรากฐานที่มั่นคง อย่างกรณี “วุฒิศักดิ์คลินิก” ถือเป็นบทเรียนที่เห็นได้ชัดเจนว่า ความสำเร็จในอดีต ไม่สามารถรับประกันอนาคตของธุรกิจในระยะยาวได้ การเติบโตควรอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในอุตสาหกรรม การวางแผนธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญภาพลักษณ์ของแบรนด์ต้องสอดคล้องกับคุณภาพของการให้บริการจริงๆ
 
และท้ายที่สุด การมีทีมงานด้านการบริหารที่เข้าใจแก่นของธุรกิจ ย่อมมีความสำคัญมากกว่าเม็ดเงินในการลงทุนซื้อกิจการ 
 
แหล่งข้อมูล 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
626
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
492
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
461
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
431
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
398
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
386
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด