บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
285
2 นาที
14 ตุลาคม 2568
เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร” ธุรกิจ
 

ใน 1 ปี มี 365 วันหรือ 8,760 ชั่วโมงเท่าๆกัน แต่เคยรู้สึกไหมว่าทำไมปีนี้เร็ว? ทำไมปีนี้ช้า? อย่างปี 2568 หลายคนบอกว่าเร็วมาก เหมือนจะเพิ่งฉลองปีใหม่มาไม่นาน เผลอแป๊บๆ ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่อีกแล้ว
 
ถ้าอธิบายเรื่องนี้ในเชิงจิตวิทยา มีทฤษฏีหนึ่งที่เรียกว่า “เวลาเชิงสัดส่วน” (Proportional Theory of Time)
 
คือยิ่งคนเรามีอายุมากขึ้น 1 ปีจะมีสัดส่วนเล็กลงเมื่อเทียบกับอายุรวมเช่น
  • ตอนอายุ 10 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วน 10% ของชีวิต
  • ตอนอายุ 40 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วนชีวิตแค่ 2.5% 
สัดส่วนที่ยิ่งน้อยลงความรู้สึกมันก็ยิ่งผ่านไปไว และในสมองของเรามักเก็บความทรงจำจาก สิ่งใหม่ ๆ ได้ดีกว่า แต่เมื่อชีวิตเริ่มมี ความซ้ำซาก เวลาก็เหมือนผ่านไปเร็วขึ้นได้ รวมถึงเรื่องของความเครียดโดยเฉพาะในยุคที่เร่งรีบ การมุ่งเน้นทำแต่เรื่องงาน เรื่องหาเงิน เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้สมองรับรู้เวลาว่าผ่านไปไว
 
ความเร็วของเวลาในแง่ของเศรษฐกิจ และสังคม

ถ้าวิเคราะห์ในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ การที่โลกมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงการมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความรู้สึกว่าปี 2568 นี้มันเดินไปไวมาก ถ้าลองไล่เรียงจากต้นปีเอาแค่ในเมืองไทยก็มีเหตุการณ์หนักๆ เกิดขึ้นเยอะได้แก่
  • เหตุการณ์แผ่นดิวไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ทำให้ตึก สตง.ถล่ม
  • เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฏาคม และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
  • เหตุการณ์น้ำท่วมหนักภาคเหนือรวมถึงดินถล่มมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
ไม่นับรวมพวกคดีที่เกี่ยวกับวงการพระสงฆ์ที่มีข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดคือเหตุการณ์ถนนยุบขนาดใหญ่หน้าโรงพยาบาลวชิระพยาบาล เป็นต้น
 
มีนักวิชาการเคยพูดถึงเรื่องความเร็วของเวลาไว้อย่างน่าสนใจว่า มนุษย์ต้องใช้เวลาถึง 1,200 ปีเพื่อเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเกษตรกรรม และลดเหลือ 120 ปีเพื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม และใช้เวลาเพียง 60 ปีเข้าสู่ยุคสู่ยุคสารสนเทศ จากนั้นย่อเหลือไม่ถึง 30 ปีจนกลายเป็นยุคดิจิทัลเช่นในทุกวันนี้
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

การถือกำเนิดของสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนสิ่งเดิมก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในทางกลับกันก็เป็นช่วงเวลาที่มีการล้มหายตายจากของธุรกิจเดิม เช่น Kodak ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านการถ่ายภาพและเป็นผู้บุกเบิกกล้องดิจิทัลก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือ Nokia ที่เคยดังมากๆ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับบรรดาสมาร์ทโฟนค่ายต่างๆ 
 
การนำเทรนด์ความเร็วของเวลาไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
 
ถ้าเราเอาเรื่อง “เทรนด์ความเร็วของเวลา” มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในมุมหนึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้เร็วและทำให้มียอดขายที่ดีมากขึ้น ซึ่งธุรกิจเองก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของยุคสมัยใหม่ให้ได้ก่อน
 
ภาพจาก https://elements.envato.com

1.วงจรสินค้า–บริการสั้นลง ผู้บริโภคเบื่อง่าย ต้องการสิ่งใหม่เร็ว แบรนด์ที่ออกสินค้าใหม่ช้า อาจเสียลูกค้าให้คู่แข่งทันที และปัจจุบันวงจรสินค้า (Product Life Cycle) สั้นลงมากจากเดิม 3–5 ปี เหลือไม่ถึง 1 ปี เช่น โทรศัพท์, Gadget, แพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้บริโภคจึงรู้สึกว่า “เวลาเดินไว” เพราะต้องตามเทรนด์ใหม่ตลอด
 
2.ผู้บริโภคเร่งการใช้จ่ายเร็วขึ้น ค่าครองชีพไทยปี 2568 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 6–8% ต่อปี คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการ “หาเงิน-ประหยัด” ทำให้ชีวิตวนลูป และวัน/เดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจเองก็แข่งกับเวลา ต้องรีบเปิดตัวสินค้าใหม่, รีบทำแคมเปญ คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วมาก
 
3.ยุคสังคมข้อมูลเร็ว (Information Overload) ปัจจุบันคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3–5 ชั่วโมง/วัน มีข่าว/เทรนด์อัพเดตทุกวินาที ทำให้สมองรับข้อมูลเยอะ แต่เก็บความทรงจำได้น้อย เมื่อย้อนมองกลับไป เหมือนว่า “ปีนี้ไม่มีอะไรจำได้ชัด” เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปเร็ว
 
4.วัฒนธรรม “เร่งด่วน” ของผู้บริโภค การเติบโตของอีคอมเมิร์ช และบริการเดลิเวอรี่ อยากได้อะไรสั่งได้ทันที ทำให้ความอดทนของผู้บริโภคลดลง เมื่อการรอคอยที่ทำให้เวลาเหมือนเดินช้าหายไปก็เป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกว่าทุกวันนี้เวลามันเดินเร็วขึ้น
 
ธุรกิจควร “ปรับตัว” ให้เข้ากับ “เทรนด์ความเร็วของเวลา” อย่างไร
 

ธุรกิจมองในระยะยาวการ “ปรับตัว” แบบ Real-time Marketing จึงสำคัญกับการทำธุรกิจในยุคเวลาเดินเร็วเช่น ธุรกิจแฟชั่น–อาหาร ต้องอัพเดตเมนู/สินค้าเร็วขึ้นอย่างน้อย ทุก 1–2 เดือน หรือมีบริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับให้เร็วที่สุดรวมถึงต้องใช้ Content Marketing ที่เล่นกับความรู้สึกแบบ Fear of Missing Out (FOMO) หรือจะเป็นการใช้ Subscription model คือการหมุนสินค้า/บริการให้ผู้บริโภครู้สึกว่า “มีอะไรใหม่ตลอดเวลา” 
 
ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจไทยในยุคเวลาเดินเร็ว ถ้าปรับเปลี่ยนตัวเองจะเพิ่มยอดขายได้แค่ไหน
 

ยกตัวอย่างร้านอาหาร – คาเฟ่ & ชานมไข่มุก ซึ่งเป็นธุรกิจสุดฮิตที่ไม่ตกเทรนด์แต่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เร็วมาก ถ้าดูข้อมูลในปี 2568 มีคาเฟ่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 2,000 ร้าน/ปี แต่กว่า 40% ต้องปิดตัวในปีแรก เหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีเมนูใหม่หรือบริการใหม่ๆที่จะดึงดูดลูกค้าได้ การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดควรต้องออก Seasonal Menu ทุก 1–2 เดือน เช่น ชาไข่มุกสีพิเศษตามเทศกาล จะเพิ่มยอดขาย 20–30% ช่วงเปิดตัว
 
หรืออีกธุรกิจที่โดนผลกระทบในเรื่อง “เทรนด์ของเวลา” อย่างชัดเจนคือ “ร้านเสื้อผ้าและแฟชั่น” ยิ่งกระแสโซเชี่ยลมาแรง ผู้บริโภคไทยติดเทรนด์ TikTok & Instagram อย่างรวดเร็ว บางครั้งเสื้อผ้าเก่าเพียง 2–3 เดือนก็ขายไม่ออก มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่าร้านที่อัพเดตสินค้าใหม่ทุก 2 สัปดาห์ มียอดขายสูงกว่าร้านที่ออกคอลเลกชัน 2–3 เดือนครั้ง ถึง 1.7 เท่า และแบรนด์เสื้อผ้าที่ช้ AI ออกแบบเสื้อผ้า และผลิตล็อตเล็ก (Just-in-time) สามารถหมุนคอลเลกชันได้ไวกว่า และสต็อกค้างลดลงเกือบ 50%
 
ดังนั้นความเร็วของเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนเร็วอาจไม่ใช่ปัญหาแต่มันคือโอกาสที่ธุรกิจต้องปรับตัวตามให้ทัน ถ้ามองว่าปีนี้เวลาผ่านไปเร็ว ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปเวลาก็ยังจะคงเดินเร็วอยู่ เพราะสังคมมีการปรับเปลี่ยนตลอด พฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงธุรกิจไหนที่คิดว่าตัวเองดีและหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีแต่รอวันเจ๊งไม่ว่าเวลาจะเดินช้าหรือเร็วก็ตาม 

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
AI คลื่นลูกที่ 5 ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเป็นเพื่อนค..
884
เทรนด์การตลาดส่งท้ายปี 2025 เมื่อผู้บริโภค “คิดเ..
750
5 ปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ปรับสมดุลชีวิตเพื่..
567
Gong Cha(貢茶) กงชา ทวงความยิ่งใหญ่ 23 ประเทศ 2.1 ..
535
สสปท. มอบโล่ Zero Accident ย้ำความปลอดภัยคือราก..
493
ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่..
493
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด