บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
262
5 นาที
26 สิงหาคม 2568
SUSHIRO ซูชิเจ้าดังจากญี่ปุ่น สู่การขยายแฟรนไชส์ระดับโลก
 

เมื่อพูดถึงซูชิที่อร่อย ปลาสดๆ ราคาจับต้องได้ แถมยังเสิร์ฟแบบรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน และสะดวกสบาย ไม่แปลกเลยที่ชื่อของ ซูชิโร่ (Sushiro) จะผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในใจของใครหลายคน
 
เพราะไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ แต่การสร้างประสบการณ์ในร้านถือเป็นสิ่งที่ซูชิโร่ใส่ใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่ระบบการรอคิวที่ชัดเจน การแบ่งพื้นที่รอที่เป็นระเบียบ ไปจนถึงการใช้แอปพลิเคชันช่วยจัดการคิวล่วงหน้าและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลายืนรอแบบไร้ทิศทาง พื้นที่ในร้านยังออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเล็กสำหรับคนที่มาคนเดียว โต๊ะกลางสำหรับเพื่อนๆ หรือพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับครอบครัว ทุกแบบให้ความรู้สึกสบายและเป็นกันเอง
 
ถ้าจะพูดถึงความสำเร็จของซูชิโร่ แน่นอนว่า “ราคา” เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากตัดสินใจเข้าร้านได้อย่างง่ายดาย
 
โดยมีซูชิจำนวนมากวางอยู่ในจานสีแดง ซึ่งเป็นราคาพื้นฐานที่ทุกคนเอื้อมถึงได้ และนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ซูชิโร่พยายามนำเสนอซูชิรสชาติญี่ปุ่นคุณภาพดีในราคาที่สบายกระเป๋า เพื่อให้ทุกคนกล้าลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องลังเลใจ 
 
เรื่องราวความเป็นมาและกลยุทธ์ของ Sushiro มีความน่าสนใจมากแค่ไหน ทำไมถึงได้รับความนิยมทั่วโลก มาดูกัน
 
จุดเริ่มต้น Sushiro
 

ภาพจาก https://sushiro.co.th

แม้วันนี้ชื่อของ ซูชิโร่ (Sushiro) จะเป็นที่รู้จักในฐานะร้านซูชิสายพานอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นและกำลังเติบโตในหลายประเทศทั่วโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
 
จุดเริ่มต้นของซูชิโร่ย้อนกลับไปในปี 1975 เมื่อเชฟ “โยชิโอะ ชิมิสุ (Yoshio Shimozu)” เปิดร้านไท่ซูชิ (Tai Sushi) ในเมืองโอซาก้า ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบที่สดใหม่จากท้องทะเล และความใส่ใจในรสชาติ เป็นร้านซูชิแบบยืนกิน (Stand-up bar) 
 
เชฟของไท่ซูชิมีความตั้งใจอยากให้ซูชิกลายเป็นอาหารที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำกัดอยู่แค่ในร้านหรูหรือเฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น ด้วยแนวคิดนี้เอง เขาจึงก่อตั้ง “ซูชิโร่” ขึ้นในปี 1984 ในเมืองโทโยนากะ จังหวัดโอซาก้า
 
ซูชิโร่จึงถือกำเนิดในฐานะร้านซูชิสายพาน ที่มอบความอร่อยแบบญี่ปุ่นแท้ในบรรยากาศสบายๆ และราคาเข้าถึงได้ 
 
แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายทศวรรษ และซูชิโร่จะกลายเป็นแบรนด์ใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมากมายในการให้บริการ แต่ หัวใจสำคัญยังคงเหมือนเดิม คือ การมอบซูชิที่สด อร่อย และมีคุณภาพให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม
 
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ซูชิโร่ได้พัฒนาแนวคิดนี้ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้นวัตกรรม เช่น ระบบสายพานและการสั่งอาหารอัตโนมัติ, เทคโนโลยี IC Tag ในจานที่ควบคุมความสด คอยติดตามระยะทางของซูชิบนสายพาน รวมถึงระบบประมวลผลข้อมูลเพื่อบริหารวัตถุดิบอย่างแม่นยำ
 
ช่วยให้ซูชิที่ปั้นอย่างพิถีพิถันยังคงความสดใหม่ และเดินทางถึงโต๊ะของเราอย่างรวดเร็ว โดยไม่สูญเสียคุณภาพแม้แต่น้อยด้วยความนิยมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน Sushiro มีมากกว่า 600 สาขา ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดต่างประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดของซูชิโร
 
งบกำไรขาดทุนของซูชิโระ ปี 2024
  • รายได้รวม 90,282 ล้านบาท
  • กำไรขั้นต้น 51,333 ล้านบาท
  • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) 44,962 ล้านบาท
  • กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนหักภาษี) 5,413 ล้านบาท
จากข้อมูลจะเห็นว่า ต้นทุนการผลิตคิดเป็นประมาณ 45% ของรายได้ ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร สาเหตุหนึ่งคือซูชิโระเลือกที่จะตั้งราคาขายให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
 
อีกจุดที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงถึง 50% ของรายได้ ส่งผลให้กำไรก่อนหักภาษีเหลือเพียง 5% ซึ่งต่ำกว่าเฉลี่ยของเชนร้านอาหารทั่วไป
 
อย่างไรก็ตาม โมเดลธุรกิจนี้เองที่ทำให้ซูชิโระสามารถก้าวขึ้นมาเป็น ร้านซูชิสายพานอันดับ 1 ของญี่ปุ่นและของโลก โดยใช้กลยุทธ์ที่ชัดเจนในการสร้างความแตกต่าง ทั้งในด้านคุณภาพ ราคา และประสบการณ์ของลูกค้า 
 

ภาพจาก https://sushiro.co.th
 
Time Line การเติบโตของ Sushiro
  • ปี 1975 เปิดร้านซูชิสแตนด์ Taisushi ที่โอซาก้า
  • ปี 1984 เปิดร้าน Sushitaro ที่เมืองโทโยนากะ, โอซาก้า
  • ปี ต.ค. 1984 จัดตั้งบริษัท Sushitaro Co., Ltd. (ต่อมาคือ Sushiro)
  • ปี 1999 รวมกิจการ Sushitaro สาขา Toyonaka และ Suita
  • ปี 2000 เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Akindo Sushiro
  • ปี 2001–2008 เริ่มขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศญี่ปุ่น
  • ปี 2003 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
  • ปี 2004–2009 หยุดใช้ครัวกลาง เปลี่ยนเป็นปรุงสดในร้าน, ย้ายสำนักงานใหญ่ไปเมือง Suita, และ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ในปี 2009
  • ปี 2011 จำนวนสาขาในญี่ปุ่นทะลุ 300 แห่ง
  • ปี 2015–2016 ปรับโครงสร้างบริษัทเป็นแบบโฮลดิ้ง และเปิดสาขานอกญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
  • ปี 2017–2019 ขยายไปยัง ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์
  • ปี 2021–2025 ขยายสู่ ไทย, จีน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย
ปัจจุบันมีสาขาในต่างประเทศมากกว่า 200 แห่ง มุ่งเน้นการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
 
ปัญหาและความท้าทายของ SUSHIRO ในญี่ปุ่น
 
ในฐานะผู้นำตลาดซูชิสายพานของญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารของบริษัท Akindo Sushiro (ในเครือ Food & Life Companies Ltd.) Sushiro ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภค ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความคาดหวังด้านจริยธรรม และแรงกดดันด้านการบริหารงานบุคคล
 
1. “Sushi Terrorism” พฤติกรรมเสี่ยงจากลูกค้า
 
ช่วงต้นปี 2023 เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "Sushi Terrorism" ซึ่งเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลูกค้าบางราย เช่น การเลียขวดซอสในร้าน, วางวาซาบิลงบนจานของลูกค้าคนอื่น และหยิบซูชิจากสายพานมาเล่นแล้วถ่ายคลิปลงโซเชียล เหตุการณ์นี้ทำให้ความเชื่อมั่นในความสะอาดของร้านลดลงอย่างมาก และยังส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทแม่ลดลงกว่า 5%
 
2. ปรับระบบเสิร์ฟอาหาร ลดการพึ่งพาสายพานเปิด
 

ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand

เพื่อยกระดับด้านสุขอนามัย และลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน ทาง Sushiro และร้านซูชิสายพานในญี่ปุ่นหลายแห่ง เริ่มเปลี่ยนจากการใช้สายพานแบบเปิด (conveyor belt) ไปเป็นระบบใหม่ เช่น การสั่งอาหารผ่านจอสัมผัส, การส่งอาหารแบบ ด่วนตรงถึงโต๊ะ และการเพิ่มลูกเล่นดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้ายังรู้สึกสนุก แม้ไม่มีสายพานหมุนจริง
 
3. ปัญหาโฆษณาเกินจริง กระทบความน่าเชื่อถือ
 
ปี 2022 Sushiro ถูกสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคญี่ปุ่น (Consumer Affairs Agency) กล่าวหาว่ามีการโฆษณาเกินจริง กรณีโปรโมตเมนูยอดนิยม เช่น ซูชิเนื้อปู หรือโอโทโร ว่าเป็น “สินค้าจำนวนจำกัด” แต่เมื่อลูกค้าไปถึงร้านกลับพบว่าไม่มีสินค้าจริง ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจ และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์
 
4. ความเหลื่อมล้ำค่าจ้าง พนักงานพาร์ตไทม์ประท้วง
 
ปี 2025 Sushiro ประกาศขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 6% ให้กับพนักงานประจำ แต่พนักงานพาร์ตไทม์ ซึ่งถือเป็นแรงงานหลักในร้าน กลับไม่ได้รับการปรับค่าจ้าง ส่งผลให้เกิดการนัดหยุดงานในหลายพื้นที่ เช่น สาขา Miyazaki โดยข้อเรียกร้อง คือ การขอปรับค่าจ้างให้เป็นธรรม และเตรียมรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น
 
Sushiro เข้าสู่ตลาดประเทศไทย 
 

ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand

Sushiro เข้าสู่ตลาดไทยในปี 2021 โดยเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยแนวคิดที่อบอุ่นและจริงใจว่า “Tasty Sushi for all. Tasty Sushi for the Heart” ซึ่งแปลได้ว่า “ทานซูชิอร่อยๆ ให้อิ่มท้อง และเติมความอิ่มอกอิ่มใจ”
 
Sushiro มีเมนูให้เลือกมากกว่า 100 รายการ ทั้งซูชิและอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ที่คัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน โดยใช้มาตรฐานเดียวกับร้านในญี่ปุ่นทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพ ความสด หรือรสชาติ อีกจุดเด่นคือ การใช้เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ที่ช่วยควบคุมคุณภาพของซูชิในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปั้นข้าว การจัดเก็บ ไปจนถึงการเสิร์ฟถึงมือลูกค้า
 
ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถลิ้มรสซูชิสดใหม่จากสายพาน ในราคาที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้อย่างง่าย เริ่มต้นเพียง 40, 60, 80 และ 120 บาทต่อจาน ด้านเมนูทอดเริ่มต้น 60-160 บาท, เมนูเส้น+ซุป เริ่มต้น 70-120 บาท, เมนูไข่ตุ๋น+ยำ+สลัด เริ่มต้น 40-100 บาท และเมนูขนมหวาน+เครื่องดื่ม เริ่มต้น 40-850 บาท 
 
ปัจจุบัน Sushiro มีจำนวน 37 สาขาในประเทศไทย สาขาส่วนใหญ่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ระยอง และชลบุรี 
 
ผลประกอบการบริษัท ซูชิโร่ จีเอช (ประเทศไทย) จำกัด 
  • ปี 2022 รายได้ 1,000 ล้านบาท กำไร 62 ล้านบาท
  • ปี 2023 รายได้ 1,892 ล้านบาท กำไร 172 ล้านบาท
  • ปี 2024 รายได้ 2,902 ล้านบาท กำไร 368 ล้านบาท
จากตัวเลขปี 2024 มีรายได้เพิ่มขึ้น 53% และ กำไรพุ่งถึง 114% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็นอัตรากำไรอยู่ที่ 13% พูดง่ายๆ คือ ทุกๆ 100 บาท ที่ลูกค้าจ่ายไปทำให้ Sushiro มีกำไรเฉลี่ย 13 บาท 
 
ถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
 

ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand
 
จุดเด่นที่ทำให้ Sushiro โดนใจลูกค้าไทย
1.คุณภาพสดใหม่ทุกจาน

ใช้เทคโนโลยี IC Tag ติดใต้จานซูชิทุกจาน เพื่อตรวจสอบระยะเวลาบนสายพาน หากจานใดหมุนเกิน 350 เมตร ระบบจะนำออกทันที เพื่อรักษาความสดใหม่

2.เมนูหลากหลาย
 

ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand

มีทั้งซูชิ ซาชิมิ โรล ของทอด ของหวาน และเมนูพิเศษตามฤดูกาลจากญี่ปุ่น

3.ประสบการณ์สนุก เพลิดเพลิน
 
รูปแบบสายพานทำให้การเลือกอาหารสนุก รวดเร็ว และมีความตื่นเต้นเล็ก ๆ เวลารอดูว่าจานโปรดจะมาถึงเมื่อไหร่
 
4.หมุนรอบลูกค้าได้เร็ว
 
การบริการแบบหมุนเวียนรวดเร็ว ช่วยให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้นในแต่ละวัน
 
กลยุทธ์ธุรกิจของ SUSHIRO
 

ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand

ในฐานะผู้นำตลาดซูชิสายพาน Sushiro วางกลยุทธ์อย่างรอบด้าน ทั้งด้านการจัดการต้นทุน เทคโนโลยี และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยมีแนวทางหลักที่น่าสนใจดังนี้

1. การบริหารจัดการต้นทุนและวัตถุดิบ
  • ไม่มีครัวกลาง
Sushiro เลือกปรุงซูชิสดใหม่ในแต่ละสาขาแทนการใช้ครัวกลาง สามารถช่วยลดเวลาขนส่ง เพิ่มความสดของอาหาร และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์
  • สั่งวัตถุดิบในปริมาณมาก
ใช้พลังของการซื้อจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย แต่ยังคงคุณภาพวัตถุดิบไว้ในระดับสูง ทำให้ขายในราคาที่เข้าถึงได้
  • ใช้ข้อมูลจริงวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า
นำข้อมูลยอดขายมาใช้วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อผลิตซูชิให้ตรงกับความต้องการ ลดการทำอาหารเกินจำเป็น และลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง หรือ Food Waste 

2. เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ


ภาพจาก www.facebook.com/SushiroThailand
  • IC Tag + Big Data Analytics
ตั้งแต่ปี 2012 Sushiro ติด IC Tag ใต้จานซูชิทุกใบ เพื่อเก็บข้อมูล เช่น ประเภทซูชิ, เวลาที่อยู่บนสายพาน, และพฤติกรรมการหยิบของลูกค้า ซึ่งสร้างฐานข้อมูลมหาศาลกว่า 1 พันล้านจานต่อปี ใช้เพื่อปรับแผนการผลิตและพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า
  • Auto Waiter ระบบส่งอาหารอัตโนมัติ
จานอาหารจะถูกส่งตรงจากครัวถึงโต๊ะลูกค้าผ่าน “เลนด่วนพิเศษ” แยกจากสายพานหมุน เพิ่มความรวดเร็วและลดความแออัดบนสายพาน
  • AI Image Recognition ระบบคิดเงินอัตโนมัติ
กล้อง AI บนเพดาน วิเคราะห์จำนวนและสีของจาน เพื่อคิดเงินอัตโนมัติ ลดภาระพนักงานและลดเวลาการชำระเงิน
  • แอปจองคิว SUSHIPASS
ลูกค้าสามารถจองโต๊ะผ่านแอป พร้อมรับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ช่วยลดการรอหน้าร้าน มีผู้ใช้งานหลายล้านคนแล้วในญี่ปุ่น
  • Food Management System ระบบจัดการสต็อก
แอปพลิเคชันแสดงตำแหน่งและวัตถุดิบในตู้เย็นแบบเรียลไทม์ผ่านแท็บเล็ต ช่วยให้จัดการสต็อกแม่นยำ และลดของเสีย
  • Digital Sushiro Vision
ใช้จอแสดงผลบนโต๊ะเพื่อจำลองภาพสายพานแบบดิจิทัล พร้อมระบบสั่งอาหารผ่านหน้าจอสัมผัส ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรค แต่ยังคงความสนุกในการเลือกรับประทาน 
 
ตลาดซูชิสายพานเดือด เมื่อ Katsu Midori บุกไทย
 
ภาพจาก www.facebook.com/KatsuMidoriThailand

ปลายปี 2024 Katsu Midori แบรนด์ซูชิสายพานชื่อดังจากญี่ปุ่น ได้เปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ และกลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว จนลูกค้าบางรายต้องรอคิวนานกว่า 6 ชั่วโมง เพื่อสัมผัสรสชาติซูชิระดับพรีเมียมในราคาที่จับต้องได้ การเข้ามาของ Katsu Midori ถือเป็นการเขย่าตลาดซูชิสายพานในไทยอย่างแท้จริง และได้จุดชนวนการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
 
ถ้าถามว่า Sushiro จะรักษาบัลลังก์เบอร์ 1 ไว้ได้หรือไม่?
 
ปัจจุบัน Sushiro ยังครองตำแหน่งผู้นำในตลาดซูชิสายพานของไทย ด้วยจุดแข็งด้านวัตถุดิบคุณภาพ, ความหลากหลายของเมนู, การตั้งราคาที่เข้าถึงได้ และระบบการบริการที่มีประสิทธิภาพ 
แต่เมื่อคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Katsu Midori เข้ามาพร้อมกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านความคาดหวังเรื่องคุณภาพ ความคุ้มค่า และประสบการณ์ที่แตกต่าง อาจทำให้ Sushiro ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม
 
ถ้าถามว่า การแข่งขันของตลาดซูชิสายพานในไทย วัดกันด้วยอะไร?
 
การแข่งขันในตลาดนี้ไม่ได้วัดกันที่รสชาติอาหารเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงคุณภาพวัตถุดิบ, ความเร็วในการบริการ, ประสบการณ์ภายในร้าน, ความคุ้มค่าของราคา และภาพลักษณ์ของแบรนด์
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะสามารถครองใจผู้บริโภค และยืนหนึ่งในตลาดซูชิสายพานของไทยในระยะยาว 

อ้างอิงข้อมูล 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
654
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
564
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
501
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
474
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
462
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
444
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด