ช่วงปี 2568–2569 กลายเป็นปีที่หลายคนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศของการดำเนินธุรกิจไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ร้านค้าที่หลายๆ คนคุ้นเคย โรงงานที่เคยทำงานมานาน หรือแม้แต่แบรนด์ระดับประเทศต่างทยอยประกาศปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญช่วงเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ

 

ภาพที่เห็นชัดเจนที่สุด คือธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งที่สุด กลับกลายเป็นกลุ่มที่ปิดตัวมากที่สุด ทั้งร้านเก่าแก่กว่า 30–70 ปี ร้านดังบนโลกออนไลน์ ร้านบุฟเฟต์พรีเมียม ชาบู สุกี้ คาเฟ่ ต่างทยอยประกาศยุติกิจการ 

 

สาเหตุมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าแรง ค่าเช่า และจำนวนลูกค้าที่ลดลงจนร้านไม่สามารถพยุงตัวได้อีกต่อไป

 

นอกจากร้านอาหาร ธุรกิจค้าปลีกและบริการหลายประเภทก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้แต่แบรนด์ต่างชาติอย่าง The Body Shop หรือดองกิ ก็ยังต้องปิดบางสาขาในไทย 

ภาพจาก www.facebook.com/TheBodyShopTH

 

แบรนด์แฟชั่นออนไลน์ที่เคยขายดีใน TikTok ก็อยู่ไม่รอดเช่นกัน เพราะผู้บริโภคหันมาใช้เงินอย่างระมัดระวัง ซื้อเฉพาะของจำเป็น และมองหาความคุ้มค่ามากกว่าเทรนด์

 

ธุรกิจรายใหญ่ก็ไม่ได้รอดจากคลื่นลูกนี้ เวิร์คพอยท์ต้องปิดแผนกละคร โรงงานรถยนต์บางแห่งปิดตัวและมีการเลิกจ้างจำนวนมาก มิตซูบิชิเปิดโครงการสมัครใจลาออก ส่วนปตท.ก็ยุติโครงการ Swap & Go แม้จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เคยมีความหวังว่าจะไปได้ดีในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า

 

สาเหตุของการปิดกิจการอย่างมหาศาล ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่มาจากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน, หนี้ครัวเรือนสูงจนคนจับจ่ายน้อยลง, ค่าครองชีพและต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น, จำนวนเด็กเกิดที่ลดลงจนโรงเรียนเอกชนหลายแห่งเริ่มไปต่อไม่ไหว 

 

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว โดยหันไปให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” และ “การซื้อออนไลน์” มากกว่าเดิม เมื่อปัจจัยเหล่านี้มาผสานกัน จึงไม่แปลกที่ธุรกิจจำนวนมาก จะเริ่มแสดงอาการอ่อนแรง ตั้งแต่ร้านเล็กไปจนถึงองค์กรใหญ่

 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังปรับโครงสร้าง ธุรกิจที่ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว ควบคุมต้นทุนได้ดี และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย จะยังมีโอกาสเติบโต ผู้บริโภคยังต้องใช้เงิน เพียงแต่เลือกมากขึ้น และต้องการความคุ้มค่าที่ชัดเจนกว่าเดิม

 

ตลอดปี 2568–2569 จึงไม่ใช่แค่ปีที่หลายธุรกิจปิดตัว แต่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าเดิม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวให้เร็วกว่าเดิม เพื่อให้เดินต่อไปได้ในสภาพเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แต่ชัดเจนขึ้นทุกวัน

 

มาดูกันว่าตลอดทั้งปี 2568 มีธุรกิจอะไรในประเทศไทย ที่ปิดกิจการ ปลดพนักงาน

 

ภาพจาก https://citly.me/ckSBo

บริษัท เวิร์คพอยท์ ประกาศยุติการผลิตละคร พร้อมปิดแผนกธุรกิจละคร เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในการเสพสื่อเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ผู้ประกอบการหันไปใช้งบโฆษณาผ่านสื่อที่วัดผลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรับโครงสร้างครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทต้องเลิกจ้างพนักงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 100–150 ล้านบาทต่อปี

 

 

รายงานข่าวจากเฟซบุ๊กเพจ หนุ่มสาว-โรงงาน ระบุว่า บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 600 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากยอดขายไม่ปรับตัวและบริษัทไม่สามารถรักษากิจการต่อไปได้

 

 

ภัตตาคารไฮ้เปียง ร้านอาหารชื่อดังคู่เมืองหัวหิน ประกาศปิดกิจการผ่านเพจเฟซบุ๊กของร้าน โดยมีกำหนดปิดในวันที่ 31 มกราคม 2568 พร้อมขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนร้านมาโดยตลอด หลังจากโพสต์ประกาศ ลูกค้าหลายคนแสดงความรู้สึกใจหายและเสียใจต่อการปิดร้านครั้งนี้

 

 

บริษัท สกลเจริญศรี (2003) จำกัด เจ้าของศูนย์มาสด้าในจังหวัดสกลนคร ประกาศเลิกกิจการ โดยให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 15 มกราคม 2568 สาเหตุของการปิดกิจการเกิดจากการแข่งขันในตลาดสูง ภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทขาดทุน

 

 

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 มีรายงานว่า The Body Shop แบรนด์สกินแคร์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ ประกาศปิดให้บริการทุกสาขาในประเทศไทย โดยวันสุดท้ายคือวันที่ 31 มกราคม 2568 พร้อมระบุข้อความขอบคุณลูกค้าว่า “Thank you for all the love – See you again soon”

 

 

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประกาศปิดโรงงานรวม 3 แห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโรงงานในอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ปิดภายในเดือนมิถุนายน 2568 สาเหตุเกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่ลดลง นอกจากนี้ บริษัทยังเคยประกาศแผนเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวน 9,000 คน และลดกำลังการผลิตลงราว 20%

 

 

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ร้านเบเกอรี่ชื่อดังบนโลกออนไลน์ “ร้านเวทย์มนต์” ในตลาดนัดจ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต ประกาศปิดกิจการพร้อมกับการปิดพื้นที่ตลาดนัดดังกล่าว โดยร้านลงทุนกว่า 4 ล้านบาท และเปิดให้บริการเพียง 8 เดือน

 

 

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดโครงการสมัครใจลาออกก่อนเกษียณตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 เบื้องต้นมีพนักงานยื่นเข้าร่วมแล้วมากกว่า 400 ราย จากจำนวนพนักงานประจำทั้งหมดประมาณ 5,200 ราย โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับเงินชดเชยราว 40 เดือน

 

 

ร้านชาเขียวต้นตำรับ “TSUJIRI” ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2403 ประกาศปิดกิจการทุกสาขาในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยมีการประเมินว่าสาเหตุเกิดจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชาเขียวไทย ทั้งแบรนด์ไทย ไต้หวัน และจีน

 

 

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือมาเด้อ ประกาศปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2568 สาเหตุจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้จำนวนลูกค้าลดลงต่อเนื่อง

 

 

ร้านสตรีทฟู้ดชื่อดังจากภูเก็ต “เฮงหอยทอดชาวเล” ซึ่งมีสาขาหลายแห่งในกรุงเทพฯ ประกาศปิดสาขาไอคอนสยามหลังเปิดให้บริการเพียง 1 เดือน

 

 

ร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่น Kagonoya ซึ่งมีทั้งหมด 13 สาขา ประกาศปิดสาขา The Walk เกษตร–นวมินทร์ และสาขา Central Westgate โดยก่อนหน้านี้ได้ปิดสาขา Marche ทองหล่อแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

 

ร้านไอศกรีมทิพย์รสประกาศปิดสาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 พร้อมเปิดสาขาใหม่ที่เตาปูน บริเวณซอยกรุงเทพ–นนทบุรี 2

 

 

ร้านครัวซองต์ชื่อดัง James Boulangerie ประกาศปิดสาขาไอคอนสยาม โดยเปิดให้บริการวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568

 

 

ตลาดดิ วัน รัชดา หลังเอสพลานาด รัชดาภิเษก ประกาศปิดกิจการถาวรเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 หลังเปิดดำเนินงานเกือบ 3 ปี การปิดพื้นที่ส่งผลให้ร้านค้าหลายร้าน รวมถึงร้าน Hotpot Man ต้องปิดตามไปด้วย

 

 

ร้านค้าปลีกญี่ปุ่น DON DON DONKI ประกาศปิดสาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 หลังเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ทำให้ปัจจุบันเหลือสาขาในไทยจำนวน 7 แห่ง

 

 

ร้านข้าวมันไก่เจ๊โบว์ประกาศปิดสาขาบรรทัดทองหลังเปิดมากว่า 30 ปี เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่าเช่าอาคารได้ โดยมีค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน

 

 

ร้านบุฟเฟต์สไตล์พรีเมียม Wisdom International Buffet ประกาศปิดสาขาสยามสแควร์วัน ชั้น 5 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ทำให้จำนวนสาขาที่เปิดให้บริการเหลือ 8 สาขา

 

ร้านบุฟเฟต์ชื่อดัง “Shuba Shabu” บริเวณ COCO Walk ย่านราชเทวี ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 299++ บาท ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2568 หลังเปิดให้บริการมานานกว่า 16 ปี

 

 

ร้าน “อาม่งหม่าล่า Homemade Hotpot” ประกาศปิดสาขาเยาวราชเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จำนวนลูกค้าลดลง และนักท่องเที่ยวหายไปมาก รวมถึงกระแสร้านหมาล่าที่ไม่ได้รับความนิยมเหมือนในอดีต นอกจากนี้ค่าเช่าสถานที่เพิ่มสูงถึง 200,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ร้านขาดทุนสะสมมากกว่า 1 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องยุติการดำเนินกิจการสาขาดังกล่าว

 

 

ร้านอาหารไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา “บ้านชิดกรุง กุ้งเผา” อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ประกาศปิดกิจการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ผ่านทางเฟซบุ๊กของร้าน โดยให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีและลูกค้าบางตาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้

 

 

ร้าน “ครัวคุณต้อ” ร้านอาหารปักษ์ใต้เก่าแก่ที่ให้บริการมากว่า 30 ปี ประกาศปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและกำลังซื้อของลูกค้าลดลง เจ้าของร้านระบุว่าพยายามประคับประคองธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนตัดสินใจยุติการดำเนินงาน

 

ร้าน “นำโชค หมูกระทะ” ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 229 บาท ประกาศปิดกิจการทั้ง 2 สาขา ได้แก่ สาขานคร และสาขาสุขุมวิท ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เหตุจากเศรษฐกิจซบเซา ต้นทุนวัตถุดิบและค่าดำเนินการสูงขึ้นจนไม่สามารถแบกรับได้

 

 

ร้าน “แพนด้า สุกี้ บะหมี่” ย่านพระราม 5 ประกาศปิดให้บริการในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 โดยระบุผ่านเฟซบุ๊กว่ารู้สึกขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนมาโดยตลอด ทำให้หลายคนรู้สึกเสียดายเมนูยอดนิยมอย่างเป็ดย่างและหมูแดง ขณะเดียวกันลูกค้าหลายรายตั้งข้อสงสัยว่าร้านอาจมีแผนย้ายไปเปิดสาขาใหม่ในอนาคต

 

 

ภาพจาก www.facebook.com/yanphuket

ร้านสุกี้หม้อไฟจีน “เหยี่ยน衍” ที่เปิดให้บริการในจังหวัดภูเก็ตมากว่า 10 ปี ประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 โดยร้านได้ขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนมาโดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

 

 

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเก่าแก่กว่า 60 ปี “อนันศักดิ์ สิงห์สมบุญเจ้าเก่า” ในกรุงเทพฯ ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 เนื่องจากยอดขายลดลงต่อเนื่อง สาเหตุจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระวังการใช้จ่ายมากขึ้นและลดการรับประทานอาหารนอกบ้านลง

 

 

 

ภาพจาก www.greethailand.com

บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ GREE จากประเทศจีน ประกาศยุติการดำเนินธุรกิจในวันที่ 1 กันยายน 2568 เนื่องจากการปรับเปลี่ยนนโยบายของบริษัทแม่ในจีน ส่งผลให้การดำเนินกิจการในไทยต้องปิดตัวลง

 

 

แบรนด์เสื้อผ้าไทย “Overtide” ซึ่งเคยได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้ง TikTok และ Shopee ประกาศปิดกิจการในเดือนกันยายน 2568 หลังเผชิญภาวะขาดทุนสะสมต่อเนื่อง แม้จะพยายามปรับตัวด้วยการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์และออกแบบคอลเล็กชันใหม่ ๆ แต่ไม่สามารถรักษารายได้ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายได้

 

ร้านชานมไข่มุกชื่อดัง “Mongni Café' X ขอนแก่น” ประกาศยุติการดำเนินกิจการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 เนื่องจากผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง แม้ร้านจะมีฐานลูกค้าเก่าเหนียวแน่น แต่ไม่เพียงพอต่อการรักษาธุรกิจในระยะยาว

 

 

ปตท. ยุติกิจการ “Swap & Go” ตามนโยบายทบทวนธุรกิจ Non-Hydrocarbon ขององค์กร โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 มีมติเลิกกิจการ และคาดว่าจะดำเนินการยุติอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2569

 

Swap & Go เป็นบริการสถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่ง ปตท. ถือหุ้น 100% ผ่านบริษัทลูก ExpresSo NB และเคยร่วมมือกับ OR ในการขยายสถานีหลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ

 

 

ภาพจาก www.facebook.com/HUNTERSEAFOODBUFFET

ร้านบุฟเฟต์ซีฟู้ด “Hunter Seafood Buffet” ประกาศปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 พร้อมกล่าวขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนตลอดระยะเวลาที่เปิดทำการ โดยระบุว่า “ทุกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกค้าจะอยู่ในใจทีมงานเสมอ”

 

 

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา แจ้งผู้ปกครองยุติการเรียนการสอนหลังดำเนินกิจการมากว่า 55 ปี เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดลดลง เศรษฐกิจไม่มั่นคง และผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 แม้โรงเรียนจะปรับลดขนาดองค์กรและบุคลากรแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการเงินระยะยาวได้ โดยโรงเรียนได้ประสานงานให้เด็กนักเรียนย้ายไปยังโรงเรียนใกล้เคียงแทน

 

 

ภาพจาก www.facebook.com/padriewsuki

ร้านสุกี้ชื่อดัง “แปดริ้วสุกี้” ซึ่งเปิดให้บริการมากว่า 10 ปี ประกาศขายกิจการทั้ง 3 สาขา ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทรา, สาขาบางนา กม.7 และสาขาหลังเซ็นทรัลบางนา โดยยังคงเปิดให้บริการถึงสิ้นปี 2568 การประกาศขายครั้งนี้สร้างความตกใจให้ลูกค้าประจำและผู้ติดตามจำนวนมาก เนื่องจากร้านมีชื่อเสียงด้านคุณภาพวัตถุดิบและราคาจับต้องได้

 

 

กรณีธุรกิจประกาศปิดกิจการตลอดทั้งปี 2568 สะท้อนว่าปี 2569 จะไม่ใช่แค่ปีแห่งความท้าทาย แต่เป็นปีที่โครงสร้างการแข่งขันทางการตลาดต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ตามการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้จ่ายของผู้บริโภค 

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 0.9% แต่การแข่งขันสูงที่สุด องค์กรที่มีความรวดเร็วในการใช้ AI, Data และ Commerce อย่างเป็นระบบจะได้เปรียบ ส่วนองค์กรที่ออกตัวได้ช้าอาจตามคู่แข่งไม่ทัน

 

ผู้บริโภคไทยปีหน้าจะใช้เงินอย่างมีเหตุผลมากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า สุขภาพ และการค้าออนไลน์ ขณะเดียวกันงบการตลาดของบริษัทส่วนใหญ่ยังคงจำกัด เน้น Profit-first Economy การทำ Sustainability ต้องสร้างผลตอบแทนควบคู่กัน

 

สำหรับการลงทุนที่เป็นหัวใจขับเคลื่อนองค์กร คือ Commerce Platform, Content, และ Payment ขณะที่อุตสาหกรรมที่จะมีการเติบโตสวนกระแส ได้แก่ Health & Wellness, Agriculture & Biotechnology, และ Quality Tourism

 

สรุปอนาคตการตลาดไทยในปี 2569 องค์กรไม่ได้ชนะด้วยขนาด แต่ด้วยความไว ความลึก และความยืดหยุ่น ใครที่ใช้ AI และข้อมูลเชิงกลยุทธ์เป็น รักษากำไรได้ดี จะสามารถอยู่รอดและเติบโตในปีที่เศรษฐกิจต่ำที่สุด

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)