บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
278
3 นาที
10 ธันวาคม 2568
อวสานวงการบันเทิงไทย ถอยหลัง ตกยุค เรตติ้งตก?
 

หลายคนคงเคยได้ยินกับประโยคที่ว่า “วงการบันเทิงไทยกำลังจะตาย” หรือ “ยุคทองมันจบไปแล้ว” คำพูดแบบนี้ไม่ได้พึ่งมี แต่พูดกันมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว และยิ่งตอนนี้ ปี 2568 มันยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า มัน “จบ” ไปแล้วจริงหรือยัง หรือเรากำลังอยู่ในช่วงขาลงที่ยาวนานเกินไปจนลืมไปแล้วว่าขาขึ้นมันเคยมีหน้าตาแบบไหน
 
ปี 2515-2545 ยุคทองของวงการบันเทิงไทย
 
 
ภาพจาก https://citly.me/IH82A

ย้อนกลับไปในสมัยก่อน วงการบันเทิงไทยเฟื่องฟูสุดขีด โดยเฉพาะหนังไทยพีคมากๆทำเงินสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงหน้าฮ่องกงและญี่ปุ่น มีโรงหนังเกือบ 700 โรงทั่วประเทศ นับเฉพาะในกรุงเทพฯอย่างเดียวก็เกินกว่า 100 โรง ดาราที่เป็นตำนานก็เช่น สรพงษ์ ชาตรี, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นต้น 
 
และมีหนังดังหลายเรื่องที่ทุกวันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เช่น “มนต์รักลูกทุ่ง” , “ทองประกายแสด” ,”เพชรตัดเพชร” และมีอีกหลายเรื่องที่เอามารีเมคใหม่ให้นักแสดงรุ่นใหม่ได้แสดง หลายคนก็คงจะเคยเห็นกันมาแล้ว
 
ข้ามมาถึงยุค “ฟรีทีวี” แบบเต็มสูบ เป็นช่วงประมาณปี 2530-2540 ในตอนนั้นคือเวลาทองของ “ละครหลังข่าว” เด็กในรุ่นใหม่นี้อาจจะไม่เข้าใจแต่สำหรับคนวัย 40+ น่าจะเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่ามีความสุดยอดแค่ไหน 

ภาพจาก https://citly.me/cetwX
 
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ “คนไทยมีเวลาว่างร่วมกันได้อย่างดี” สมมุติเลิกงาน 18.00 น. กลับถึงบ้าน อาบน้ำกินข้าว 20.30 น. มานั่งหน้าจอพร้อมกันทั้งครอบครัว ไม่มีมือถือ ไม่มีเน็ต ไม่มีทางเลือก ละครหลังข่าวหน้าจอโทรทัศน์เป็นความบันเทิงระดับสุดยอด สะท้อนได้จากการครองเรตติ้งระดับ 30-40 ของฟรีทีวีในยุคนั้น อย่าง 3, 5, 7, 9 ที่แตกต่างจากยุคนี้ราวฟ้ากับเหวที่ได้เรตติ้งแค่ 3 แค่ 4 ก็ดีใจกันมากแล้ว 
 
โดยมีดาราในยุคนี้ที่เรียกว่าเป็นซุเปอร์สตาร์ เช่น ศรันยู , ศรราม , เคนธีรเดช , แอนทองประสม , หน่อยบุษกร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ไทยก็เฟื่องฟูเช่นกัน อย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่เข้าฉายในปี 2540 ทำรายได้ไป 75 ล้านบาทในยุคนั้นตอนที่ค่าตั๋วเข้าชมในโรงภาพยนต์ประมาณ 60-80 บาท 
 
รวมถึงวงการเพลงสตริงก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน ศิลปินชื่อดังแห่งยุคเกิดขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็น อัสนี-วสันต์ , ไมโคร , นูโว , เบิร์ด ธงไชย สามารถขายเทปได้หลักแสน - หลักล้านตลับ และยังมีเวทีคอร์นเสิร์ตที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะ 7 สีคอร์นเสิร์ตหรือว่า “โลกดนตรีของช่อง 5”
 
ท้ายยุคทองวงการบันเทิง “หนังไทย” บูมหนักมาก
 
ภาพจาก https://citly.me/4IQzk

ประมาณปี 2540-2545 เข้าสู่ปลายยุคทองของวงการบันเทิงไทย เป็นช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่คนไทยอยากดูหนังไทยเพื่อช่วยชาติมากขึ้น เกิดปรากฏการณ์หนังไทยทำรายได้ทะลุร้อยล้านหลายเรื่องไม่ว่าจะนางนากในปี 2542 ที่ทำรายได้ 149.6 ล้านบาท 
 
ซึ่งถือว่าสูงสุดตลอดกาลในยุคนั้น มาถึงบางระจัน ในปี 2543 ที่ทำรายได้ 130+ ล้านบาท ต่อด้วย “สุริโยไท” ในปี 2544 ทำรายได้เกิน 140 ล้านบาท หรือหนังดังอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ที่รางวัลเมืองคานส์อีกด้วย
 
ตัวเลขที่บ่งบอกว่าหนังไทยในช่วงนี้ใหญ่จริงคือ ปี 2542 มีหนังไทยเข้าฉาย 92 เรื่อง และในปี 2540 – 2545 มีโรงหนังในไทยเกิน 650 โรง สมัยนั้นยังก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ในวงการบันเทิงที่มีแทบทุกแนวตั้งแต่ลูกทุ่ง , สตริง , ภาพยนตร์  ,ละครหลังข่าว ดารากลายเป็น “ไอดอล” จริง ๆที่แตกต่างจากในตอนนี้สิ้นเชิง อันเนื่องมาจากแพลตฟอร์มที่หลากหลายทำให้คำว่าดาราแทบจะไม่มีความหมายแต่กลายเป็นคำว่า Content creator มาแทนที่
 
วิเคราะห์เหตุผล? เกิดอะไรขึ้นกับ “วงการบันเทิงไทย”
 
 
ภาพจาก https://citly.me/zAleF

สาเหตุที่ทำให้วงการบันเทิงไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีต เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและปัจจัยแวดล้อมในหลายๆ ด้าน ที่เป็นเหมือนการ “ซ้ำเติม”ตอกทีละดอกจนโครงสร้างเก่าพังยับภายในเวลา 10-12 ปี 
 
เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ที่เกิดวิกฤติการเมือง ละครดีๆ ที่ถ่ายไว้แล้วถูก “ดอง” หรือตัดผังทิ้ง ผลกระทบเหล่านี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างนักลงทุนโฆษณาเริ่ม “ถอย” ผลคือ ปี 2550–2553 รายได้โฆษณาฟรีทีวีตกลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ถึง 15–20% ต่อปี
 
ตอกย้ำให้หนักขึ้นด้วยการเข้ามาของ YouTube ที่เปิดตัวในไทยอย่างจริงจังเมื่อปี 2550 และแค่ภายในระยะเวลา 2 ปีละครไทยทุกแทบเรื่องถูกอัพโหลดเต็มเรื่องภายใน 1 ชม. หลังออกอากาศ 
 
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของเว็บโหลดหนังชื่อดังต่างๆ ที่ทำให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไปสิ้นเชิง คนเข้าโรงภาพยนตร์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะร้าน VCD/DVD มีเกลื่อนเมือง ขายแผ่นหนังแค่ 50-60 บาท แม้กระทั่งวงการเพลงเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกที่เป็นอัลบั๊มแท้ตายทันที 
 
พ.ศ. 2552 เป็นปีสุดท้ายที่มีอัลบั้มไทยขายเกิน 100,000 ตลับ
 
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อมีดิจิทัลทีวีเกิดขึ้นในปี 2554 – 2557 ที่มีการประมูลคลื่นความถี่ เกิดช่องใหม่อีก 24 ช่องพร้อมกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแทบทุกช่องขาดทุนยับ ขาดทุนสะสมรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท
 
วิธีแก้คือ “ลดต้นทุนละคร” ที่ทำให้พระเอก-นางเอกรุ่นใหม่เงินเดือนลดลง 50–70% แถมเน้นการถ่ายละครเร็วขึ้น ใช้ฉากซ้ำ ทีมงานน้อยลง ทำให้คุณภาพของละครลดน้อยลงไป  
 
การเข้ามาของ “สมาร์ทโฟน” ดาบสุดท้ายซ้ำวงการบันเทิงไทย ตายเรียบ!
 

จากที่มันแย่คราวนี้ก็แย่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาในช่วงปี 2553 ซึ่งตัวเลขของคนมีสมาร์ทโฟนเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 8 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 12% ของประชากรในปี 2553 มาเป็น 72 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 98% ในปี 2565 มาถึงตอนนี้ปี 2568 คนไทยมีสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคนบางคนมี 2-3 เครื่อง และสมาร์ทโฟนนี่เองที่ทำให้วงการบันเทิงไทยสาหัสได้แท้จริง ด้วยเหตุผลหลายประการคือ
  • คนเลิกรอละครหลังข่าว 20:30 น. เพราะดูย้อนหลังในโทรศัพท์ได้ทันที
  • เรตติ้งละครหลังข่าวตกลงอย่างน่าใจหาย ตัวเลขจาก 30-40 เหลือแค่ 3-4 ก็ดีใจแล้ว
  • โฆษณาฟรีทีวีหาย 70% ใน 10 ปี
  • ร้านขายซีดีปิดเกือบหมดภายใน 5 ปี
  • นักร้องไทยต้องหันไปหาเงินจาก YouTube Ads + TikTok Gift แทน
  • เด็กไทยยุคใหม่ไม่ฝันอยากเป็น “ดารา” แล้ว แต่ฝันอยากเป็น “ครีเอเตอร์”
  • จำนวนนักเรียนที่สอบเข้า คณะนิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์/ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการแสดง-กำกับการแสดง ลดลง 60–70% ใน 10 ปี
  • โรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังปิดตัวไปเกือบหมด
  • ดาราไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่แล้ว เพราะมีรายได้จากโทรศัพท์เครื่องเดียว
  • ปี 2568 มีดารา A-list หลายคน “ออกจากค่าย” ไปเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว
ถ้าให้สรุปว่าพลังของสมาร์ทโฟนทำแค่ 3 อย่างแต่มีผลกระทบหนักต่อวงการบันเทิงไทย คือสมาร์ทโฟนทำให้ทุกอย่างแบบฟรีและทันที และยังทำให้ทุกคนเป็นสื่อเองได้ และแน่นอนว่าทำให้ความอดทนในการเสพสื่อของคนไทยหายไปอย่างสิ้นเชิง

วงการบันเทิงไทย “ยังไม่ตายสนิท” แต่ฟื้นมาก็ไม่เหมือนเดิม
 

การเข้ามาของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชี่ยลต่าง ๆเหมือนเป็นผู้ร้ายที่ทำให้วงการบันเทิงไทยวิกฤติหนักถึงขนาดที่มองว่ามันคือการ “อวสาน” แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีข้อดีที่เปลี่ยนโฉมวงการบันเทิงไทยให้แตกต่างไปจากเดิมคือ
  1. ดาราไม่ต้องพึ่งฟรีทีวีหรือค่ายใหญ่อีกต่อไป
  2. กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของดาราที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นการ Live ขายของ ซึ่งดาราไทยหลายคนทำยอดขายต่อไลฟ์ ได้มากกว่า 10–100 ล้านบาท
  3. คลิป 15–60 วินาที ทำให้คนหน้าใหม่ดังได้โดยไม่ต้องมีละคร 7–8 ตอน โดยพวกค่ายหนัง/ละครเริ่มแคสติ้งจากยอดฟอลโลว์ IG/TikTok จริงจังตั้งแต่ปี 2563
อย่างไรก็ดีก็ต้องระวังผลในแง่ลบที่ต้องเตรียมรับมือเช่น ดังเร็วก็เงียบเร็ว ซึ่งอายุการดังเฉลี่ยเหลือแค่ 1-3 ปีจากสมัยก่อนยุคเฟื่องฟูที่ดังยาว 10-20 ปี หรือการที่ความสามารถในการแสดงกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเอาแค่คนดังที่มีกระแสมาเป็นตัวหลักกระแสหมดก็แยกย้ายกันไป 
 
แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความไม่ยุติธรรมจาก “เทคโนโลยี” เพราะก่อให้เกิดรายได้กระจุกตัวเฉพาะคนที่ดังซึ่งมีแค่ 1-2% ส่วนพวกดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงกลายเป็นแทบไม่มีงาน ซึ่งเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงยุคใหม่ที่ดาราหันไปทำอาชีพอื่นมากขึ้นตามที่เป็นข่าว
 
มองวงการบันเทิงไทยในอีก 5-10 ปีต่อจากนี้
 
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าดิจิทัลจะเป็นกระแสหลักของโลกต่อจากนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นสะดวกเน้นความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z/Alpha (เกิดหลัง 2560) เป็นกลุ่มหลัก 80% ของการเสพสื่อ เน้นคอนเทนต์สั้น, ส่วนตัว ธุรกิจวงการบันเทิงในหลายส่วนต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสโลกยุคใหม่ เพราะการจะกลับไปจุดเดิมเหมือนในอดีตคงเป็นไปไม่ได้
 
ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยอาจจะยังไม่ถึงกับ “อวสาน” แต่กำลังจะแพ้ให้กับหลายอย่างทั้ง “การเปลี่ยนแปลงของเวลา” “พฤติกรรมผู้คนที่ไม่อยากรออีกต่อไป” หรือ แพ้ให้กับโลกยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากเกินไป” จนทำให้ความเป็นหนึ่งเดียว” นั้นหายไปตลอดกาล 
 
ยุคทองของวงการบันเทิงอาจจะจบลงแล้วจริง ๆ ที่เหลือต่อจากนี้คือความพยายามในการปรับตัวและสร้าง “วงการบันเทิงแบบใหม่” ที่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม แต่ก็ยังเป็นทางรอดที่พอมองเห็นได้ในอนาคต

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
591
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
477
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
421
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
386
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
381
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
367
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด