บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
490
2 นาที
19 สิงหาคม 2568
หมดยุค! Solopreneur เป็นทุกอย่าง แต่ไม่โตสักอย่าง
 

ทำคนเดียว! รวยคนเดียว! รายได้ไม่ต้องแบ่งใคร ทำธุรกิจแบบนี้จะรวยจริงไหม หรือความจริงแล้วไม่ควรทำธุรกิจในรูปแบบนี้?
 
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของธุรกิจที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อาจไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนเพียงอย่างเดียวบางธุรกิจมีหุ้นส่วนเยอะก็อาจทำให้การตัดสินใจช้ากว่าทำงานคนเดียว แต่ทำงานเป็นทีมก็มีคนช่วยคิดช่วยตัดสินใจ ทำให้การแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาธุรกิจอาจทำได้ดีกว่า ดังนั้น จะทำคนเดียวหรือทำเป็นทีม มันขึ้นอยู่กับ “กระบวนการ” รวมถึงการปรับตัวให้ธุรกิจนั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
 
แต่ที่แน่ๆ ถ้าเลือกทำธุรกิจคนเดียวเท่ากับว่าเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และมีข้อเสียที่ควรรู้ได้แก่
  • ความรับผิดชอบสูง เพราะต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว
  • ทรัพยากรมีจำกัด เช่นเงินทุนจำกัด ความรู้จำกัด การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตทำได้ยาก
  • ความเสี่ยงสูง เพราะทำงานคนเดียวหากเจ็บป่วยหรือ มีปัญหาส่วนตัวใดๆ จะกระทบธุรกิจทันที
  • ความเครียดสูง สัมพันธ์กับความรับผิดชอบในธุรกิจที่มีรอบด้าน
  • ขาดทักษะบางอย่าง เพราะคนเดียวไม่อาจมีความรู้ทุกอย่าง บางเรื่องก็อาจไม่เก่ง
  • โอกาสขยายสาขาทำได้ยาก เพราะการดูแลที่ไม่ทั่วถึง เนื่องจากทำงานคนเดียว

มีตัวอย่างของร้านอาหารบางแห่งที่อร่อยมาก ลูกค้าเยอะ แต่เจ้าของทำคนเดียวดูแลทุกอย่าง มีเพียงพนักงานช่วยเสิร์ฟในร้านแค่ 2-3 คนเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นธุรกิจที่รายได้ดี แต่ก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาหากมีข้อผิดพลาดนิดเดียวธุรกิจนี้จะหยุดชะงักได้ทันที เช่น เจ้าของร้านเจ็บป่วย , ขาดแคลนพนักงานประจำร้าน
 
ที่สำคัญธุรกิจที่ทำคนเดียวสิ่งที่ต้องเสียไปแน่ๆคือ “เวลา” จะไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้เลย เพราะทั้งวันต้องอยู่ร้าน เริ่มตั้งแต่เช้าจัดหาวัตถุดิบเข้าร้าน , จัดสต็อคสินค้า , เริ่มเปิดร้าน , ทำอาหารตามออร์เดอร์ , ดูแลปัญหาภายในร้าน , เช็คสต็อคสินค้าหลังเลิกงาน , ตรวจสอบบัญชียอดขายในแต่ละวัน ซึ่งทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย เช้าวันต่อมาก็ต้องวนลูปมาเริ่มต้นกันใหม่ เป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี
 
ถ้าลองเปรียบเทียบร้านอาหารแบบทำคนเดียวกับ แบบร้านอาหารที่มีระบบ ก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันคือ

เกณฑ์ ร้านอาหารทำคนเดียว ร้านอาหารมีระบบ
ความเร็วเปิดร้าน เร็ว (2–4 เดือน) เพราะตัดสินใจเอง ช้ากว่า (4–8 เดือน) เพราะต้องวางระบบ + ฝึกทีม
กำลังการผลิต มีจำกัดเพราะเจ้าของทำหลายหน้าที่ มีมากกว่าเพราะมีพนักงานครัว เสิร์ฟ แคชเชียร์
รายได้ต่อวัน (ร้านกลางๆ) 5,000–15,000 บาท 20,000–80,000 บาท
ต้นทุนแรงงาน ต่ำ (10–20% ของรายได้) สูง (25–35% ของรายได้)
ความเหนื่อย สูงมาก ทำทั้งหมด เสิร์ฟ บริหาร แบ่งหน้าที่ ลดภาระเจ้าของ
โอกาสขยายสาขา แทบไม่มี เพราะต้องอยู่ร้านเอง สูง สามารถเปิดหลายสาขาได้
 

ซึ่งการทำธุรกิจแบบมีระบบจะเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจได้มากกว่า แม้จะมีต้นทุนด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นแต่ก็แลกมาด้วยรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับคนที่ทำธุรกิจคนเดียวอาจค่อยๆ เริ่มมาสนใจในการพัฒนาระบบร้านเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น มีขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงคือ
 
1.จดบันทึกทุกงานที่ทำ สร้าง SOP จากประสบการณ์จริง
 

ไม่ใช่เรื่องยากยิ่งเจ้าของที่เคยทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ลองจดรายละเอียดที่ตัวเองต้องทำทุกอย่างไว้ เช่น ก่อนเปิดร้านทำอะไร , เตรียมวัตถุดิบอย่างไร , เซ็ตอุปกรณ์แบบไหน , จัดวางอุปกรณ์ในร้านอย่างไร ยิ่งจดรายละเอียดได้ดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถ่ายทอดให้คนอื่นทำตามได้ดีมากขึ้นเท่านั้น เป็นพื้นฐานของการสร้างระบบที่ลดภาระตัวเองได้
 
2. เขียนปัญหาประจำวัน + วิธีแก้ 
 

ทุกวันที่เปิดร้าน จะมีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้น การจดบันทึกวิธีแก้ปัญหาไว้ทุกอย่าง เช่นแก๊สหมด , ไฟไม่ติด , เครื่องชำระเงินเสีย , พนักงานขาดลามาสาย , สต็อควัตถุดิบไม่พอ ฯลฯ ยิ่งมีปัญหามาก มีวิธีแก้ไขมาก ก็ยิ่งทำให้มีข้อมูลมากสำหรับการถ่ายทอดสู่พนักงานเพื่อสร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
 
3. คำนวณกำไรใหม่ รายได้ตัวเองลดลง
 

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ทำธุรกิจคนเดียวคือคิดว่าไม่อยากจ้างคนอื่น ไม่อยากแบ่งรายได้ให้ใคร กลัวรายได้ตัวเองลด แต่ถ้าคิดในอีกมุมเช่นรายได้ 50,000 เราเก็บหมด แต่จะเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาพัก ไม่มีโอกาสเติบโตขยายสาขา แต่ถ้าลองจ้างพนักงานสัก 2 คน เงินเดือน 15,000 (2 คน = 30,000) กำไรจะเหลือ 20,000

แต่สิ่งที่จะได้คือการเปิดร้านที่มีระยะเวลานานขึ้นหรือเรามีเวลาไปหารายได้จากทางอื่นเพิ่มขึ้น รายได้ของร้านจากที่เคยได้ 50,000 ก็อาจจะเพิ่มเป็น 80,000 – 100,000 หักลบต้นทุนแล้ว ก็เท่ากับรายได้ไม่ลดลงจากตอนที่เคยทำคนเดียว แต่มีโอกาสเติบโตและลดภาระตัวเองได้อย่างมาก
 
อย่างไรก็ดีสำหรับคนทำธุรกิจใหม่ๆในช่วงแรกอาจทำคนเดียวไปก่อนได้เพื่อสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ปัญหา เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ในระหว่างนั้นก็สะสมความรู้ ผสผมสานการสร้างระบบบริหารจัดการร้าน ควรให้เป็นธุรกิจที่มีระบบบริหารจัดการภายใน 2-3 ปี อันจะเป็นผลดีและเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
AI คลื่นลูกที่ 5 ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเป็นเพื่อนค..
852
เทรนด์การตลาดส่งท้ายปี 2025 เมื่อผู้บริโภค “คิดเ..
689
5 ปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ปรับสมดุลชีวิตเพื่..
556
สสปท. มอบโล่ Zero Accident ย้ำความปลอดภัยคือราก..
485
จักรวาลร้านสเต็ก ข้างทาง ใครเจ้าตลาด
468
ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่..
444
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด