บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
597
5 นาที
21 กรกฎาคม 2568
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันนี้ไหวมั้ย
 

หากพูดถึงแบรนด์เครื่องดื่มนมเปรี้ยวที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน เชื่อว่าชื่อของนมเปรี้ยว "ยาคูลท์" น่าจะอยู่ในใจของผู้บริโภคชาวไทยหลายคน ด้วยเอกลักษณ์ขวดเล็กฝาสีแดง-เขียว รสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมีความโดดเด่นของ "สาวยาคูลท์" ที่คอยมาเคาะประตูนำส่งเครื่องดื่มสุขภาพถึงหน้าบ้านเป็นประจำทุกวัน 
 
ปัจจุบันยาคูลท์ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มสุขภาพ แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ฝังรากลึกในการบริโภคของคนไทยมาอย่างยาวนาน จนทำให้ยาคูลท์กลายเป็นเจ้าตลาดนมเปรี้ยวแลคโตบาซิลลัส ครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยสูงถึง 60%
 
แต่พฤติกรรมผู้บริโภคได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากเทรนด์รักสุขภาพ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์  ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ตพร้อมดื่ม โพรไบโอติกแบบซอง หรือแม้แต่เครื่องดื่มสูตรสุขภาพจากฝั่งเกาหลี ญี่ปุ่น ที่แข่งขันกันดุเดือด 
 
ปี 2023 ตลาดเครื่องดื่มโพรไบโอติกในไทยมีมูลค่าราว 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ14,400 ล้านบาท ซึ่งเครื่องดื่มโพรไบโอติก เป็นเครื่องดื่มที่มีจุลินทรีย์ที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยปรับสมดุลระบบทางเดินอาหารและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม เครื่องดื่มเหล่านี้มักมีรสเปรี้ยวเนื่องจากการหมัก และมีหลากหลายชนิด
 
 
สำหรับในตลาดนมเปรี้ยวเครื่องดื่มโพรไบโอติกในไทย ปัจจุบันมีผู้เล่นหลักๆ ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย ได้แก่
  • ยาคูลท์ ขนาดบรรจุขวด 80 มล.
  • บีทาเก้น ขนาดบรรจุขวด 85 มล. 140 มล. 300 มล. 400 มล. 700 มล.
  • ดัชมิลล์ ดีไลท์ ขนาดบรรจุขวด 100 มล.
  • เมจิ ไพเก้น ขนาดบรรจุขวด 80 มล. 155 มล.    
แต่คู่แข่งขันหลักๆ ของยาคูลท์ น่าจะเป็น “บีทาเก้น” เพราะจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักเพียง "นมเปรี้ยว" อย่างเดียว ส่วน ดัชมิลล์ ไลท์ และ เมจิ ไพเก้น เป็นเพียงหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 บริษัทเท่านั้น ที่จำหน่ายทั้งนมสด โยเกิร์ต รวมอยู่ด้วย 
 
ถ้าถามว่า กลยุทธ์แบบเดิมของยาคูลท์ ยังเอาอยู่ไหม ในวันที่ผู้บริโภคไม่ได้เลือกเพราะ “เคยดื่ม” แต่เลือกเพราะความสะดวก 
 
จุดเริ่มต้น...ยาคูลท์ 
 

ภาพจาก www.yakultthailand.com

ยาคูลท์มีจุดเริ่มต้นในปี 2473 โดย ดร.มิโนรุ ชิโรต้า ได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบจุลินทรีย์กรดนมในลำไส้ มีคุณสมบัติสามารถทนต่อกรดและด่างในร่างกายของมนุษย์ ที่สำคัญเจ้าจุลินทรีย์ชนิดนี้ยังสามารถอยู่ในลำไส้ได้ นั่นคือ แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า หรือเรียกสั้นๆ "จุลินทรีย์ชิโรต้า" 
 
จากนั้นจึงนำไปสู่การผลิตนมเปรี้ยว "ยาคูลท์" ในปี 2478 และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่เมืองฟุคุโอะกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นยาคูลท์ที่จำหน่ายเป็นแบบขวดแก้วหลากหลายขนาด และใช้ฝาไม้ก๊อกปิดปากขวด
 
ต่อมาปี 2498 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ยาคูลท์ครั้งใหญ่ ทั้งภาชนะบรรจุภัณฑ์ การออกฉลาก รวมถึงการใช้ขวดแก้วให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในญี่ปุ่นสมัยนั้นเมื่อลูกค้าดื่มเสร็จแล้วต้องคืนขวดให้แก่สาวยาคูลท์อีกด้วย 
 
ปี 2511 ยาคูลท์ได้มีการเปลี่ยนภาชนะบรรจุภัณฑ์จากขวดแก้วมาเป็นขวดพลาสติก เพื่อให้ผู้บริโภคดื่มง่ายขึ้น และช่วยให้สาวยาคูลท์สามารถเก็บขวดพลาสติกที่มีน้ำหนักเบาได้ง่ายขึ้น 
 
ในสมัยนั้นต้องยอมรับว่า กลยุทธ์การทำตลาดและการขายของยาคูลท์มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นับตั้งแต่ปี 2506 พวกเขาได้ใช้กลยุทธ์การขายแบบ door-to-door หรือ เคาะประตูถึงหน้าบ้าน โดยให้พนักงานผู้หญิง หรือเรียกว่า Yakult Lady นำยาคูลท์ไปส่งถึงมือของลูกค้าที่บ้านหรือที่ทำงานเลย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ทำกันมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
 
ภาพจาก www.yakultthailand.com
 
หากลองย้อนกลับไปในสมัยนั้น ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจะทำงานข้างนอกบ้านได้ยากมาก ต้องอยู่บ้านเป็นแม่บ้านอย่างเดียว ซึ่งการเป็นสาวยาคูลท์เป็นหนึ่งในงานแรกๆ ที่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นสามารถทำนอกบ้านเพื่อเป็นรายได้เสริมได้ ในขณะผู้บริโภคจะให้ความไว้วางใจต่อสาวยาคูลท์มากเป็นพิเศษ เพราะมีภาพลักษณ์เป็นมิตรและบุคลิกที่เข้าถึงได้ง่าย
 
หลังจากยาคูลท์ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น จึงได้เริ่มขยายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศไต้หวัน ก่อนขยายไปยังออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นอีกหลายประเทศทั่วโลก 
 
ปัจจุบันยาคูลท์มีการขยายตลาดครอบคลุมกว่า 40 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น 
  • ทวีปอเมริกาเหนือ 4 ประเทศ
  • ทวีปอเมริกาใต้ 2 ประเทศ
  • ทวีปยุโรป 13 ประเทศ
  • ทวีปเอเชีย 19 ประเทศ 
  • ทวีปออสเตรเลีย 2 ประเทศ 
ยาคูลท์ในประเทศไทย
 

ภาพจาก www.yakultthailand.com

สำหรับประเทศไทย ยาคูลท์มีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2496 คุณประพันธ์ เหตระกูล ได้เดินทางไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักเรียนทุนและนักเรียนต่างชาติคนแรกของมหาวิทยาลัยโกเบ สมัยเรียนที่ญี่ปุ่นเขามักมีอาการท้องเสียหลังการรับประทานอาหาร หลังจากได้ดื่มยาคูลท์ทำให้เริ่มมีสุขภาพลำไส้แข็งแรงขึ้น เพราะรู้ข้อมูลว่ายาคูลท์มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ ชิโรต้า มีประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหารและลำไส้ 
 
เมื่อกลับมาประเทศไทย จึงอยากนำยาคูลท์เข้ามาจำหน่าย จึงได้จัดตั้งบริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นในปี 2513 และเริ่มวางจำหน่ายยาคูลท์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการปี 2514 ถือเป็นจุดเริ่มของ "สาวยาคูลท์" ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก 
 
ต่อมาปี 2561 ยาคูลท์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก นั่นคือ "ยาคูลท์ไลท์" สูตรน้ำตาลน้อยเพียง 1.75% มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เหมือนเดิม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น     
 
จุดเด่น “ยาคูลท์” เป็นนมเปรี้ยวจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ ชิโรต้า ที่มีชีวิตอยู่มากกว่า 8,000 ล้านตัวใน 1 ขวด  
 
"ยาคูลท์" เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่มีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่สามารถทำรายได้รวมกันสูงกว่า 6 พันล้านบาท จากรายได้ 2 บริษัทรวมกัน คือ บริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ยาคูลท์เซลส์ (กรุงเทพ) จำกัด 
 
สำหรับผลิตภัณฑ์ยาคูลท์ที่จำหน่ายในประเทศ มี 2 รายการ ขนาด 80 มิลลิลิตร คือ นมเปรี้ยวยาคูลท์ ผลิตที่กรุงเทพฯ - อยุธยา และ นมเปรี้ยว ยาคูลท์ไลท์ ผลิตที่อยุธยา เปิดตัวไปเมื่อช่วงปี 2561 ราคาแพงกว่าสูตรเดิม 1 บาท 
 
ราคาจำหน่ายยาคูลท์ในปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ได้ปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อขวด ในรอบ 11 ปี มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ราคายาคูลท์นมเปรี้ยว 7 บาท เพิ่มเป็น 8 บาท, ยาคูลท์ไลท์ 8 บาท เป็น 9 บาท 
 
สาวยาคูลท์ มีรายได้มาแค่ไหน? 
 
รู้หรือไม่ว่า “สาวยาคูลท์” ไม่มีเงินเดือนประจำ แต่มีรายได้จากยอดขายสินค้าในแต่ละวัน โดยรายได้ของสาวยาคูลท์มาจากเปอร์เซ็นต์การขายต่อขวด ใครขายได้มากก็มีรายได้มาก เปอร์เซ็นต์การขายยาคูลท์ 1 ขวด อยู่ที่ประมาณ 0.75 บาท
 
ถ้าคนขยันส่วนใหญ่จะขายได้เฉลี่ยวันละประมาณ 700-1,000 ขวด ถ้าคิดเป็นรายเดือนแล้วสาวยาคูลท์ทั่วประเทศจะมีรายได้ประมาณ 15,000 - 40,000 บาท แล้วแต่ว่าใครจะขายได้มากได้น้อย รายได้ของสาวยาคูลท์แต่ละพื้นที่ แต่ละเขต แต่ละจังหวัดอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วรายได้จะอยู่ที่ 15,000 – 40,000 บาทต่อเดือน 
 
สาวยาคูลท์ยังมีรายได้จากโบนัสที่มีทุก 6 เดือน เป็นการคำนวณจากส่วนลดจากเปอร์เซ็นต์ยอดขายที่สะสมเรื่อยๆ นำมาจ่ายให้ทุก 6 เดือน (ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ วันจันทร์ - วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 07.30-17.00 น. (หยุดวันอาทิตย์)) 
 
เงื่อนไขสมัครเป็นสาวยาคูลท์
  • อายุ 18-40 ปี
  • วุฒิการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป
  • มีมอเตอร์ไซค์ (อยู่ในเขตที่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์) ปัจจุบันบริษัทฯ ช่วยออกมอเตอร์ไซค์ให้ แล้วสาวยาคูลท์ผ่อนเอง 
  • ต้องผ่านการอบรมเป็นสาวยาคูลท์ ฝึกอบรมประมาณ 24 วัน ที่สนามเป้า  
  • มีรายได้ระหว่างการอบรมและฝึกงานเป็นสาวยาคูลท์ (ประมาณ 12,000 บาท) 
สวัสดิการ
  • ค่ารักษาพยาบาล
  • ประกันอุบัติเหตุ
  • หอพัก
  • ทุนการศึกษาบุตร
  • ท่องเที่ยวต่างประเทศ
  • โบนัส 2 ครั้ง/ปี (ขึ้นอยู่กับเขตและตัวแทนจำหน่ายยาคูลท์) 
กลยุทธ์การตลาด ยาคูลท์ 
 
1.กลยุทธ์การขายตรงถึงบ้าน (Direct Selling)
 
การขายผ่าน “สาวยาคูลท์” ที่เดินเคาะประตูขายถึงหน้าบ้าน คือหัวใจของโมเดลธุรกิจนี้ ช่วยสร้างความผูกพันกับลูกค้า (Personal relationship) ทำให้ยาคูลท์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือแม่บ้าน ที่มักอยู่บ้านกลางวัน ที่สำคัญลดการพึ่งพาช่องทางค้าปลีก ที่อาจมีการแข่งขันสูงหรือไม่เหมาะกับสินค้าที่มีอายุสั้น
 
2.ขายช่องทางฃออนไลน์

ช่วงเกิดการระบาดโควิด-19 ยาคูลท์ได้รับผลกระทบโดยตรง ยอดขายลดลงเหลือ 2.07 ล้านขวดต่อวันในปี 2563 จาก 2.19 ล้านขวดต่อวันในปี 2562 ส่งผลให้รายได้ลดลง 6% ในปี 2563 
 
แต่การลดต้นทุนช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิเติบโต 5% ในปี 2563 เทียบกับที่ลดลง 18% ในปี 2562
 
การแก้ปัญหาของยาคูลท์ จึงเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ https://www.yakultthailand.com/order ภายใต้สโลแกน "ดื่มทุกวัน สุขภาพดีไปด้วยกันกับยาคูลท์" รูปแบบการสั่งซื้อออนไลน์ มีทั้งการสั่งพิเศษเป็นรายครั้ง โทร. 02-6198008 และสั่งเป็นประจำ ลูกค้าต้องทำการกรอกรายละเอียด เช่น 
  • ชื่อ นามสกุล
  • จำนวนยาคูลท์
  • วันที่จัดส่ง
  • ที่อยู่
  • รายละเอียดอื่นๆ ถ้ามี 
ยาคูลท์ประเทศไทย มีรายได้มากแค่ไหน?
 

ภาพจาก www.yakultthailand.com

ปัจจุบัน “ยาคูลท์” ในประเทศไทย อยู่ภายใต้การบริหารและดูแลของบริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาคูลท์ในประเทศไทย และบริษัท ยาคูลท์เซลส์ (กรุงเทพฯ) จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายและดูแล “สาวยาคูลท์” ในประเทศไทย  
 
บริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด
  • ปี 65 รายได้ 2,285 ล้านบาท กำไร 232 ล้านบาท
  • ปี 66 รายได้ 2,561 ล้านบาท กำไร 165 ล้านบาท
  • ปี 67 รายได้ 2,490 ล้านบาท กำไร 196 ล้านบาท
บริษัท ยาคูลท์เซลส์ (กรุงเทพฯ) จำกัด
  • ปี 65 รายได้ 4,312 ล้านบาท กำไร 607 ล้านบาท
  • ปี 66 รายได้ 4,959 ล้านบาท กำไร 797 ล้านบาท
  • ปี 67 รายได้ 5,267 ล้านบาท กำไร 1,139 ล้านบาท

ภาพจาก www.yakultthailand.com

#เป็นเพียงรายได้ 2 บริษัทหลักๆ เท่านั้น ยังไม่รวมรายได้ของบริษัทตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่างจังหวัดแต่ละภูมิภาค 
 
ยกตัวอย่าง... 
บริษัท ทองเนื้อเก้า จำกัด พื้นที่จำหน่ายโคราช 
  • ปี 65 รายได้ 73.6 ล้านบาท กำไร 2 ล้านบาท 
  • ปี 66 รายได้ 76.4 ล้านบาท กำไร 2.45 ล้านบาท
  • ปี 67 รายได้ 76.4 ล้านบาท กำไร 2.6 ล้านบาท 
บริษัท ยาคูลท์ เซลส์ (หาดใหญ่) จำกัด
  • ปี 65 รายได้ 86.4 ล้านบาท กำไร 5.9 ล้านบาท
  • ปี 66 รายได้ 93.2 ล้านบาท กำไร 5.5 ล้านบาท 
  • ปี 67 รายได้ 89 ล้านบาท กำไร 5.3 ล้านบาท
บริษัท ระมิงค์มาเก็ตติ้ง (2001) จำกัด พื้นที่จำหน่ายเชียงใหม่
  • ปี 65 รายได้ 122 ล้านบาท กำไร 7 ล้านบาท
  • ปี 66 รายได้ 127 ล้านบาท กำไร 8 ล้านบาท 
  • ปี 67 รายได้ 130.9 ล้านบาท กำไร 8 ล้านบาท 
ถ้าหากรวมหลายๆ เขตพื้นที่ คาดว่าผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว “ยาคูลท์” น่าจะมีรายได้เกือบหมื่นล้านบาท
 
ส่วนแบรนด์นมเปรี้ยวคู่แข่งในตลาดเมืองไทยอย่าง “บีทาเก้น” มีรายได้สูสีกัน 
 
บริษัท บีทาเก้น จำกัด
  • ปี 65 รายได้ 4,705 ล้านบาท กำไร 915 ล้านบาท
  • ปี 66 รายได้ 4,876 ล้านบาท กำไร 1,008 ล้านบาท
  • ปี 67 รายได้ 5,405 ล้านบาท กำไร 1,219 ล้านบาท 
ความท้าทายของ “ยาคูลท์”
 
 
แม้ยาคูลท์จะขายผ่าน “สาวยาคูลท์” ช่วยสร้างความผูกพันกับลูกค้า แต่ความท้าทายของยาคูลท์ก็มีมากเช่นกัน จากคู่แข่งที่มีช่องทางการขายที่หลากหลายอย่าง “บีทาเก้น” ที่เริ่มต้นธุรกิจมาเมื่อราวๆ 35 ปีก่อน ชูจุดขายนมเปรี้ยวที่ผลิตจากจุลินทรีย์โพรไบโอติกคุณภาพสูงจากยุโรป ที่ผ่านมาการทำตลาดของบีทาเก้นจะไม่แข่งขันโดยตรงกับยาคูลท์ 
 
ไม่ว่าจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ขวดใหญ่กว่า ขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต อาทิขนาด 85 มล. 140 มล. 300 มล. 400 มล. 700 มล. เป็นต้น ซึ่งการที่บีทาเก้นทำสินค้าออกมาหลายขนาด จะเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ตอบโจทย์พฤติกรรมการดื่มของผู้บริโภคที่ต้องการปริมาณไม่เหมือนกัน
 
บีทาเก้น เป็นรายแรกที่พัฒนานมเปรี้ยวสูตรน้ำตาลน้อย 2% เมื่อช่วงหลาย 10 ปีก่อน โดยมองว่าผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ลดการบริโภคน้ำตาลให้น้อยลง 
 
ส่วนยาคูลท์พึ่งส่งผลิตภัณฑ์ "ยาคูลท์ ไลท์" นมเปรี้ยวสูตรน้ำตาลน้อย 1.7% เข้ามาทำตลาดเมื่อช่วงปี 2561 
 
บีทาเก้น อาจเป็นผู้เล่นในตลาดที่มีระบบตัดจำหน่ายค่อนข้างแข็งแกร่ง มีรถขนส่งสินค้าควบคุมความเย็นหลาย 100 คัน ขายผ่านระบบเอเย่นต์หรือตัวแทนจำหน่ายเข้ามาเป็นตัวช่วยกระจายสินค้า มีตัวแทนขายสินค้ามากกว่า 2,500 คนทั่วประเทศ 
 
ซึ่ง 1 ตัวแทนการขายของบีทาเก้น สามารถกระจายสินค้าไปสู่ตู้แช่ของร้านโชห่วยได้ประมาณ 40-50 ร้านค้า ส่วนยาคูลท์มีราวๆ 4,000 คนทั่วประเทศ เข้าถึงลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนในแต่ละวัน 

ภาพจาก www.betagen.co.th
 
อีกหนึ่งจุดแข็งของ “บีทาเก้น” และเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ คือ การ Push สินค้าเข้าช่องทางจำหน่ายทั้ง Traditional Trade – Door to Door (Direct Selling) – Modern trade ซึ่งต่างกับ “ยาคูลท์” ในไทยเน้นขายผ่านระบบ “สาวยาคูลท์” หรือ Door to Door เป็นหลัก
 
อีกคู่แข่งของยาคูลท์ที่อาจจะเป็นรองอยู่มาก ก็คือ ดัชมิลล์ ดีไลท์ เพราะที่ผ่านมามีการสร้างระบบขายตรงถึงมือผู้บริโภคอย่างจริงจังผ่านสาวขายดีไลท์ ที่มีราวๆ 3,000 คน เดินกลยุทธ์การตลาดแบบ "ป่าล้อมเมือง" สร้างฐานกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดตั้งแต่ปี 2545 ก่อนขยายเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นตลาดที่ยาคูลท์ครองส่วนแบ่งอยู่มานาน 
 
อย่างไรก็ตาม บีทาเก้น ขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ครองส่วนแบ่ง 50% 
 
ส่วนยาคูลท์เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดนมเปรี้ยวแลคโตบาซิลลัส ขายและนำสินค้าส่งถึงมือลูกค้าที่บ้าน หรือที่ทำงาน โดยจัดจำหน่ายนมเปรี้ยวยาคูลท์ผ่านทางสาวยาคูลท์เท่านั้น ไม่ได้ขายที่สี่แยกเหมือนที่เคยเป็นข่าว  
 
จุดแข็งของ “ยาคูลท์” ที่ขายผ่าน “สาวยาคูลท์” เปรียบได้กับ “ไปรษณีย์ไทย” ที่มีบุรุษไปรษณีย์มีความชำนาญในพื้นที่ รู้จักทุกคนในพื้นที่ บางคนถึงขั้นจำหน้าลูกค้าได้เกือบทุกบ้าน ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นและสร้างความผูกพันได้เป็นอย่างดี
 
แหล่งข้อมูล 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 

บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สร้างรายได้จาก กระเบื้องยางSPC วัสดุปูพื้นยอดนิย..
517
ประกาศเซ้ง! แบรนด์แฟรนไชส์จีนหมดแรง แซงไทยไม่ไหว
437
ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?
430
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป
405
รวมเทคนิค “ดิ้นสู้” วิกฤติร้านอาหารปี 2568 ทำยัง..
387
“Gap Model” ร้านค้าทำดีทุกอย่าง แต่ทำไมลูกค้าไม..
386
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด