บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
407
3 นาที
23 ตุลาคม 2568
เทรนด์ไทยยั่งยืน สนับสนุนร้านเล็ก ไม่เน้นเชนร้านเครือข่าย
 

ในยุคที่ร้านสะดวกซื้อแบรนด์ใหญ่ (Chain Convenience Stores) แผ่ขยายไปทั่วทุกหัวมุมถนน "ความสะดวก" กลายเป็นปัจจัยหลักในการบริโภค อย่างไรก็ตาม กระแสความยั่งยืนกำลังผลักดันให้เกิดการตั้งคำถามใหม่ว่า การซื้อของที่สะดวกที่สุดนั้น คือการซื้อของที่ "ดีที่สุด" หรือไม่? เทรนด์การหันมาสนับสนุน "ร้านค้าชุมชน" และ "ร้านเล็ก" จึงไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกดี แต่คือกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้
 
ยุคทองของร้านค้าปลีกท้องถิ่นในอดีต
 

ในช่วงก่อนทศวรรษ 1990 หรือประมาณ พ.ศ. 2523 – 2533 ร้านค้าปลีกท้องถิ่น เช่น ร้านโชห่วยและตลาดสด เป็นช่องทางหลักที่คนไทยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค โดยในปี 2523 ร้านค้าท้องถิ่นครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80-90% ของการค้าปลีกทั้งหมด มีตลาดสดรวมกันทั่วประเทศมากกว่า 10,000 – 15,000 แห่ง

ซึ่งคำนวณจากจำนวนชุมชนและหมู่บ้านในสมัยนั้น ที่มีประมาณ 70,000 หมู่บ้าน ซึ่งเกือบทุกชุมชนจะมีตลาดสดหรือตลาดนัดอย่างน้อย 1 แห่ง นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกท้องถิ่นยังมีจำนวนมากถึง 500,000 แห่ง มีจุดเด่นที่น่าสนใจในยุคนั้นคือ
  1. มีความใกล้ชิดกับชุมชน เพราะส่วนใหญ่ร้านโชห่วยและตลาดสดตั้งอยู่ในระยะที่ลูกค้าทั่วไปเดินถึง สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าของร้านและลูกค้า
  2. สินค้าสดและราคาถูก เนื่องจากตลาดสดส่วนใหญ่จำหน่ายผักผลไม้จากเกษตรกรโดยตรง ถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต 2-4 เท่า และสินค้าในกลุ่มอาหารถูกกว่าในซูเปอร์มาเก็ต 
  3. ความยืดหยุ่น ร้านค้าท้องถิ่นสามารถปรับเปลี่ยนสินค้าตามความต้องการของชุมชน เช่น ขายสมุนไพรพื้นบ้านหรืออาหารตามเทศกาล และยังเป็นจุดศูนย์รวมของคนในท้องถิ่นให้มาพูดคุยปรึกษาหารือกันได้
  4. การจ้างงานในชุมชน สอดคล้องกับข้อมูลน่าสนใจที่ระบุว่าผู้หญิงในยุคนั้น เป็นเจ้าของแผงตลาดถึง 60-70% ซึ่งการขายสินค้าก็จำเป็นต้องมีลูกจ้างที่ช่วยทำงาน จึงเท่ากับเป็นการจ้างงานในชุมชนได้อย่างดี
จึงถือได้ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองของร้านค้าปลีกท้องถิ่น เพราะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจชุมชน สามารถกระจายรายได้สู่เกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเกษตรกรได้รับส่วนแบ่งสูงถึง 30-50% จากราคาขายในตลาดสด มากกว่าการกระจายรายได้จากซูเปอร์มาเก็ตไปสู่เกษตรกรที่มีสัดส่วนตัวเลขเพียง 5% เท่านั้น
 
เวลาเปลี่ยน! สังคมเปลี่ยน! ตลาดค้าปลีกเมืองไทย ไม่เหมือนเดิม?
 

ช่วงหลังปี 1990 หรือตั้งแต่ 2533 เป็นต้นมา ร้านค้าปลีกยุคใหม่ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าปลีกของไทยให้แตกต่างไปจากเดิม ในปี 2021 มีร้านโชห่วยและร้านค้าท้องถิ่นประมาณ 400,000 แห่ง ลดลงจาก 500,000 แห่งในอดีต และคาดว่าลดลงปีละ 25,000 แห่ง เนื่องจากการแข่งขันจากร้านสะดวกซื้อ รวมถึงตลาดสดที่ลดลงทั่วประเทศเช่นกันโดยมีประมาณ 7,000 – 8,000 แห่ง 
 
ถ้าดูมูลค่าตลาดค้าปลีกคาดว่ามีมูลค่า 5.4 ล้านล้านบาทในปี 2025 และจะโตไปจนถึง 7.1 ล้านล้านบาทในปี 2030 อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ส่วนใหญ่มาจากค้าปลีกยุคใหม่ โดยในปี 2024 ร้านค้าท้องถิ่น ครองส่วนแบ่งตลาดเพียง 44.73% ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อครองถึง 39.33% และตัวเลขการขยายสาขาของร้านค้าปลีกยุคใหม่ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
  • 7-Eleven มีสาขา 15,430 แห่ง
  • Lotus’s มีสาขา 2,454 แห่ง
  • บิ๊กซีมินิ มีสาขา 1,602 แห่ง
  • CJ Express มีสาขา 700 – 800 แห่ง
และคาดว่าร้านค้าปลีกยุคใหม่จะมีสาขาเกิน 27,000 แห่งภายในปี 2030 ซึ่งความได้เปรียบของร้านยุคใหม่คือมีเครือข่ายใหญ่และอำนาจตลาดสูงกว่า โดย convenience stores คิดเป็น 20% ของส่วนแบ่งตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสะท้อนถึงการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของค้าปลีกชุมชนได้อย่างชัดเจน
 
เปรียบเทียบความต่าง! การหมุนเวียนเม็ดเงิน ค้าปลีกชุมชน VS ค้าปลีกยุคใหม่
 

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างร้านเล็กกับเชนร้านใหญ่คือ "การหมุนเวียนของเม็ดเงินในท้องถิ่น (Local Multiplier Effect)" มีการวิเคราะห์กันว่า หากผู้บริโภคใช้จ่ายที่ร้านค้าชุมชน 100 บาท เม็ดเงินกว่า 45-68 บาท จะถูกนำไปใช้จ่ายต่อในพื้นที่ เช่น จ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของอาคารท้องถิ่น จ้างคนงานในพื้นที่ หรือซื้อวัตถุดิบจากตลาดใกล้เคียง ในทางกลับกัน เงินจำนวน 100 บาทที่จ่ายให้เชนร้านสะดวกซื้อ จะมีเงินไหลออกนอกชุมชนไปสู่สำนักงานใหญ่เกือบ 86 บาท
 
และการใช้จ่ายกับร้านค้าชุมชนยังส่งผลดีสู่เทรนด์ไทยยั่งยืนในอีกหลายมิติเช่น
 
1.การกระจายรายได้สู่ฐานราก
 

 
การใช้จ่ายกับร้านค้าในท้องถิ่นยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ใกล้เคียงให้เติบโตได้เพราะร้านค้าต้องใช้สินค้า /วัตถุดิบ จากเกษตกรในพื้นที่ ต่างจากเชนร้านเครือข่ายที่ส่วนใหญ่ใช้ระบบซัพพลายเชนของบริษัทแม่โดยข้อมูลระบุว่าในระบบค้าปลีกยุคใหม่ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต เกษตรกรได้รับส่วนแบ่งเพียง 5% จากราคาขายสินค้าเท่านั้น
 
2.สุขภาพของคนในชุมชนที่แข็งแรงกว่า
 
ตลาดสดกระตุ้นให้คนไทยซื้อผักผลไม้สดทุกวัน ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคผักสูงขึ้นและลดความเสี่ยงโรคอ้วน ในทางตรงข้าม เชนใหญ่โปรโมทอาหารแปรรูปที่อุดมด้วยน้ำตาล ไขมัน และเนื้อสัตว์ ทำให้อัตราอ้วนในไทยเพิ่มสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองที่ใช้ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก การบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
 
3.ลดขยะและรักษ์โลก
 

ร้านค้าท้องถิ่นช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยขายสินค้าสดที่ไม่ใช้บรรจุภัณฑ์มาก ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตสร้างขยะพลาสติกมหาศาล โดยในกรุงเทพฯ คนใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ย 8 ใบต่อวัน และระบบอาหารอุตสาหกรรมที่เชนใหญ่โปรโมทมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 50% ของทั้งโลก รวมถึง 8-10% จากบรรจุภัณฑ์และการแปรรูป แม้เชนใหญ่จะเริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์และตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกมากขึ้น

แต่ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับผลกระทบโดยรวมกลยุทธ์ร้านค้าปลีกยุคใหม่หันมาใช้ Localized Marketing มากขึ้น
 
บรรดาค้าปลีกยุคใหม่ล้วนแต่มีพลังทางการเงิน แต่ละแบรนด์ก็มองเห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายด้วยการใช้ Localized Marketing ในการเข้าถึงลูกค้าแต่ละท้องถิ่น ยิ่งทำให้ค้าปลีกชุมชนหรือบรรดารายย่อยยิ่งอยู่ยากมากขึ้น เห็นตัวอย่างกันชัดๆเช่น
  • โลตัสสาขายะลาได้รวมห้างค้าปลีกค้าส่งไว้ในที่เดียวผลิตสินค้าฮาลาล การจัดระเบียบการวางผลิตภัณฑ์ฮาลาลภายในสาขาที่ถูกต้องตามหลักศาสนา การแบ่งแยกโซนการจัดเก็บที่ต้องผ่านกรรมวิธีฮาลาลอย่างถูกต้อง และการแยกโซนสินค้ากลุ่ม Non-Halal ไม่ให้ปะปนกับผลิตภัณฑ์ฮาลาล
  • แม็คโคร ในจังหวัดภูเก็ตที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากได้พัฒนาธุรกิจสู่ แม็คโคร ฟู้ดเซอร์วิส รองรับโอกาสจากการท่องเที่ยวที่เติบโตสูง และมีกาขรยายโซนสินค้าพรีเมียม โซนเบเกอรี่ที่อบสดใหม่ทุกวัน และเพิ่มเติมความหลากหลายให้กลุ่มสินค้าอุปโภคมากยิ่งขึ้น
  • 7-Eleven ปรับสินค้าและโปรโมชันให้เข้ากับชุมชนท้องถิ่น เช่น การนำเสนออาหารไทยพื้นบ้านอย่างข้าวเหนียวมะม่วงหรือน้ำพริกวางขายในสาขาต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่นผ่านโครงการ "7-Eleven Local Sourcing" เพื่อขายผักผลไม้สดจากชุมชน
ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจาก “เทรนด์ไทยยั่งยืน”
 

แม้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าค้าปลีกยุคใหม่ก็หันมาจับตลาดท้องถิ่นมากขึ้น และย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวต่อค้าปลีกรายย่อยที่ตัวเลขจำนวนเริ่มลดลงชัดเจน ทั้งที่ในความจริงค้าปลีกชุมชนรายเล็กๆ เหล่านี้ภาครัฐสามารถผลักดันให้เป็น Softpower เมืองไทยได้ เนื่องจากการสนับสนุนร้านค้าชุมชนไม่ได้เพียงจะช่วยกระจายรายได้ แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในอีกหลายด้าน
  1. ลดความเหลื่อมล้ำ รายได้ระหว่างเมืองและชนบท ซึ่งในไทย ดัชนีความเหลื่อมล้ำ อยู่ที่ 0.35 ในปี 2023 หากสนับสนุนร้านค้าชุมชนมากขึ้น คาดว่าสามารถลดความเหลื่อมล้ำลงได้ 5-10% ในระยะยาว
  2. ผลกระทบต่อ GDP เนื่องจากตัวเลขการค้าปลีกท้องถิ่นคิดเป็น 44.73% ของส่วนแบ่งตลาด การรักษาร้านค้าชุมชนช่วยให้เงินหมุนเวียนในท้องถิ่น ไม่ไหลไปสู่เครือข่ายใหญ่มากจนเกินไป
  3. โอกาสสำหรับ SME เพราะร้านค้าชุมชนเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SME) และ OTOP ซึ่งในปี 2025 SME คิดเป็น 35% ของ GDP และจ้างงาน 80% ของแรงงานทั้งหมด การสนับสนุนร้านค้าชุมชนช่วยให้ SME เติบโต ซึ่งสร้างงานเพิ่มได้ถึง 10-15%
  4. รักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นและอัตลักษณ์ของไทยได้เป็นอย่างดี เช่น สมุนไพรหรืออาหารท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค เป็นจุดแข็งที่พัฒนาไปสู่การ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากถึง 2.2 ล้านล้านบาท
  5. สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม โดยความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายในร้านค้าชุมชนช่วยลดความขัดแย้งในสังคมและเพิ่มความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศได้

 
อย่างไรก็ดีในยุคที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง ร้านค้าท้องถิ่นเองก็ควรปรับตัวไปพร้อมกับเทรนด์ความยั่งยืนผสานการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเช่นการเข้าร่วมแอพเดลิเวอรี หรือใช้ social media เพื่อโปรโมทสินค้าท้องถิ่น หรือการสร้างจุดเด่นชุมชนเช่นการจัดงานเทศกาลอาหารท้องถิ่น เพื่อดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และรักษาวัฒนธรรมไปพร้อมๆกันได้
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
610
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
490
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
427
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
394
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
385
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
378
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด