บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    การลงทุน
5.6K
3 นาที
25 พฤษภาคม 2561
10 วิธีอยากมีร้าน แต่งบไปไม่ถึง


ถ้ามีโอกาสเราคงอยากมีร้านอาหารหรือธุรกิจของตัวเองสักอย่างเพื่อไว้เป็นตัวช่วยในการสร้างรายได้หรือไว้รองรับในกรณีที่ไม่มีงานทำ แต่คำว่าโอกาสก็สัมพันธ์กับ “เงินทุน” ด้วยเช่นกัน หลายคนเริ่มต้นไม่ได้เพราะว่างบไม่ถึง เงินไม่มี ไอเดียดีแต่ว่าไม่มีเงินอะไรประมาณนั้น

www.ThaiFranchiseCenter.com มี 10 วิธีสร้างธุรกิจให้ตัวเองแบบงบไม่ถึง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีเงินน้อยความยากก็ต้องมากขึ้นกว่าจะเริ่มต้นธุรกิจได้ แต่หากมีฝันตั้งใจทำจริงๆ แล้วเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องลองสู้กันดูสักตั้ง

1.ขอยืมเงินจากคนรู้จัก

ภาพจาก freepik.com

เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและคนอยากมีร้านหรือธุรกิจตัวเองก็คิดถึงเรื่องนี้ก่อนอันดับแรก ข้อดีของการยืมเงินคนรู้จักคือเราอาจไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกับเงินกู้จากธนาคาร รวมถึงการยืมเงินจากคนรู้จักก็ยังพูดคุยผ่อนปรนการชำระหนี้ได้บ้างหากเกิดกรณีธุรกิจยังไม่มีกำไรและเราไม่มีเงินสดมากพอ
 
แต่อย่างไรก็ตามการยืมเงินจากคนรู้จักนี้แนะนำว่าต้องเป็นคนที่สนิทกับเราจริงๆ และพร้อมช่วยเหลือเราแบบที่เขาเองก็ไม่เดือดร้อน ซึ่งหากเรามีคนรู้จัก มีเพื่อนดี มีญาติที่ฐานะร่ำรวย ก็อาจใช้วิธีนี้ได้ง่ายขึ้น
 
2.ระดมทุนสาธารณะ (Crowdfunding)

ภาพจาก freepik.com

เป็นวิธีการที่บรรดานักธุรกิจ SMEs หรือเหล่าStartup นิยมใช้กันในตอนเริ่มทำธุรกิจสำคัญที่ต้องมีไอเดียในการเริ่มต้นที่ดึงดูดใจนักลงทุนได้เพราะ Crowd Funding จะเป็ นการระดมเงินจากมวลชนที่สนใจและต้องการสนับสนุนให้แนวคิดนั้นให้กลายเป็นจริง

โดยสามารถทำผ่านเว็บไซต์เพื่อการระดมทุนสาธารณะอย่าง Kickstarter , Indiegogo , Gofundme เป็นต้น ตัวอย่างของคนที่ใช้วิธีนี้แล้วประสบความสำเร็จเช่น Max Lobovsky ที่ใช้ไอเดีย เครื่องพิมพ์สามมิติ Form 1ไประดมทุนในเว็บไซต์ Kickstarter

และได้รับเงินสนับสนุน 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ จากผู้สนับสนุน 2,068 คน ภายใน 30 วัน การระดมทุนดังกล่าวทำให้บริษัท Formlabs ที่เขาก่อตั้งเข้าสู่ตลาดเครื่องพิมพ์สามมิติได้เหมือนกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่างบริษัท 3D Systems และบริษัท MakerBot

3.ขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ (SME loan)


เป็นอีกทางเลือกยอดฮิตที่ใช้กันแต่สำหรับมือใหม่ในการทำธุรกิจหรือเพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจครั้งแรกอาจเป็นเรื่องยากที่ธนาคารจะปล่อยกู้ให้ ส่วนใหญ่ธนาคารจะขอดูผลประกอบการและการเดินบัญชีอย่างต่ำ 2-3 ปี และต้องการหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน

โดยวงเงินในการขอสินเชื่อก็จะขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่นำไปค้ำ สำหรับธุรกิจบริการ หรือธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีที่ไม่มีเครื่องจักรหรือที่ดินเป็นของตนเอง อาจจะขอสินเชื่อประเภทนี้ยาก
 
ทำให้ต้องหันไปพึ่งสินเชื่อส่วนบุคคลหรือใช้บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 15-28% ต่อปี แต่ปัจจุบันทางภาครัฐมีนโยบายในการส่งเสริมSMEs มากขึ้นทำให้ธนาคารหลายแห่งมีการปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็เป็นโอกาสของคนอยากมีร้านมีธุรกิจแต่งบไม่ถึงด้วย

4. Angel Investor

 
คล้ายกับ Crowdfunding แต่ Angel Investor จะโฟกัสไปที่นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ มองหาธุรกิจที่จะช่วยให้เงินลงทุนของตนเองนั้นงอกเงยได้ ส่วนใหญ่นักลงทุน Angel ลงทุนเพราะเชื่อในไอเดียและทีมงาน Angel Investor

จะให้เงินก้อนหนึ่งเพื่อเป็นการเริ่มต้น หรือที่เรียกว่า Seed Funding แต่ในความเป็นจริง การตามหา Angel Investor เป็นเรื่องไม่ง่าย และถึงหาเจอ ก็อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกับเราในเรื่องของทิศทางการดำเนินงาน เรียกว่ามีความเสี่ยงสูงและโอกาสเกิดขึ้นก็น้อยมาก

5. Venture Capital (VC)

ภาพจาก goo.gl/muYCmo

อีกหนึ่งรูปแบบการหาเงินทุนในยามที่งบไม่ถึงคือการใช้วิธี Venture Capital (VC) ซึ่ง VC คือ กลุ่มองค์กรที่รวบรวมเงินจากกลุ่มคนหรือบริษัทที่ต้องการลงทุนและทำหน้าที่บริหารเงินกองทุนนั้น โดยการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยระยะเวลาการลงทุนจะอยู่ที่ 3-5 ปี และมักให้เงินลงทุนที่สูงกว่า Angel Investor

แต่ก็จะแลกกับสัดส่วนของหุ้นหรือเงินปันผลที่มากขึ้นด้วย รวมถึงการมีอำนาจในการตัดสินใจต่างๆ ด้วย แต่วิธีนี้อาจเหมาะสมกับธุรกิจที่เปิดตัวไปแล้วและขาดสภาพคล่องสำหรับคนที่อยากเปิดร้านใหม่หรือเริ่มทำธุรกิจใหม่ครั้งแรกวิธีนี้นับว่าใช้ได้ยากมากทีเดียว

6.ใช้เงินสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ


ด้วยการส่งเสริมของภาครัฐทำให้ปัจจุบันมีธนาคารหลายแห่งพร้อมปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งหากเราอยากมีธุรกิจของตัวเองแต่เงินไม่พอก็ให้นำเสนอแผนธุรกิจต่อหน้าคณะกรรมการพิจารณา
 
ซึ่งหลักเกณฑ์ที่พิจารณาว่าจะปล่อยให้กู้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่แนวทางการบริหารจัดการ ความน่าสนใจของธุรกิจ แต่หากจะให้ง่ายขึ้นลองเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมโครงการกับธนาคารเหล่านี้ซึ่งจะปล่อยเงินกู้ให้เราได้ง่ายขึ้น

7.หาหุ้นส่วนมาร่วมลงทุน

ภาพจาก freepik.com

คล้ายกับการยืมเงินจากคนรู้จักแต่การหาหุ้นส่วนนี้เราอาจไม่ต้องรู้จักหรือเป็นญาติสนิทหรือเพื่อนสนิทก็ได้แต่ขอให้เขาเป็นนักธุรกิจที่สนใจการลงทุน ซึ่งเราก็ต้องนำเสนอแผนธุรกิจของเราเช่นกันว่ามีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน

และจะทำกำไรให้เขาได้อย่างไรหากร่วมลงทุน ในกรณีนี้อาจใช้วิธีลงทุนตามจำนวนหุ้นหรือหากมีกันแค่สองคนก็อาจจะตกลงกันว่าจะมีการให้กำไรต่อเดือนหรือต่อปีเป็นจำนวนเท่าไหร่ วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านอาหารหรือธุรกิจส่วนใหญ่มักใช้กันด้วย

8.ขอเครดิต/Pre-Sale


หากไม่รู้จะหาแหล่งเงินทุนมาเพิ่มเติมได้อย่างไรอีกหนึ่งวิธีในการเริ่มต้นได้คือการติดต่อกับโรงงานหรือทางผู้ผลิตวัตถุดิบต่างๆ ในการขอเครดิตรนำวัตถุดิบมาใช้ก่อนและค่อยจ่ายเงินเมื่อขายสินค้าได้

วิธีนี้ก็น่าสนใจเพียงแต่หากเป็นผู้ประกอบการใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกันดีกับโรงงานมักจะไม่ได้เครดิตนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีด้วย หรือจะลองเลือกใช้วิธี Pre-Sale คือรับออร์เดอร์ลูกค้ามาก่อนแล้วค่อยสั่งวัตถุดิบมาผลิตวิธีนี้ก็จะไม่ทำให้เราต้องสต็อกวัตถุดิบไว้มากและประหยัดต้นทุนได้ในระดับหนึ่ง

9.ปรับขนาดธุรกิจให้เหมาะสมกับเงินทุนที่มี


แต่หากเราคิดว่าไม่อยากกู้สินเชื่อ ไม่อยากระดมทุน ไม่อยากเป็นหนี้ใคร ขอแนะนำว่าให้ใช้เงินเท่าที่ตัวเองมีในการเริ่มต้น เพียงแต่อาจต้องปรับขนาดธุรกิจหรือร้านค้าของตัวเองลงมาให้เหมาะสม

เช่นจากที่ตั้งใจว่าจะเปิดเป็นร้านอาหารติดแอร์ บรรยากาศสุดชิล ก็อาจจะมาเริ่มจากร้านรถเข็นหรือร้านริมทางเล็กๆ ให้เหมาะสมกับเงินทุนที่ตัวเองมีในเบื้องต้น

10.เก็บเงิน/สะสมประสบการณ์เพิ่มเติม

ภาพจาก freepik.com
 
สุดท้ายถ้ามองดูงบที่ตัวเองมีแม้จะปรับลดขนาดธุรกิจมาก็ยังไม่พอและคิดว่าสภาพคล่องในระยะยาวอาจมีปัญหาแนะนำว่าให้เก็บเงินดังกล่าวไว้ และลองไปหาประสบการณ์ในธุรกิจที่ตัวเองสนใจลองทำเป็นลูกน้อง

เขาไปพลางๆก่อน ในระหว่างนั้นก็พยายามสะสมเงินทุนให้มีมากขึ้น พร้อมสะสมประสบการณ์ที่ได้ทำงานจริงๆ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรามั่นใจว่าเงินพร้อม ความรู้พร้อม ก็เดินหน้าเปิดร้านค้าหรือเริ่มทำธุรกิจที่ตั้งใจไว้ได้ทันที

หากเราไม่ได้มีเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นแต่มีความคิดที่อยากมีธุรกิจของตัวเองสิ่งสำคัญคือวางแผนให้รอบคอบก่อนจะเริ่มต้น การตัดสินใจเดินหน้าแบบไม่มีแผนรองรับอาจดูเหมือนคนใจสู้ กล้าได้กล้าเสีย
 
แต่ต้องนึกไว้เสมอว่าการลงทุนคือความเสี่ยงถ้ามีปัญหาก็ต้องมีทางแก้ไข ไม่เช่นนั้นธุรกิจที่ตั้งใจอาจพังไม่เป็นท่ารวมถึงเงินที่มีก็อาจหมดไปแบบไม่มีอะไรตอบแทนกลับมาด้วย

SMEs Tips
  1. ขอยืมเงินจากคนรู้จัก
  2. ระดมทุนสาธารณะ (Crowdfunding)
  3. ขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ (SME loan)
  4. Angel Investor
  5. Venture Capital (VC)
  6. ใช้เงินสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ
  7. หาหุ้นส่วนมาร่วมลงทุน
  8. ขอเครดิต/Pre-Sale
  9. ปรับขนาดธุรกิจให้เหมาะสมกับเงินทุนที่มี
  10. เก็บเงิน/สะสมประสบการณ์เพิ่มเติม
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
434
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
419
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด