บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
351
7 นาที
30 กันยายน 2568
ดราม่า อยากขายดี อย่าใช้ชื่อไทย! โคตรเศร้า แต่เข้าใจ
 

เชื่อหรือไม่ว่าสินค้าของคนไทยหลายแบรนด์ แม้จะเป็นของคนไทยและผลิตในประเทศไทย แต่กลับเลือกใช้ชื่อเป็นภาษาต่างประเทศ ทำให้คนไทยหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าสินค้าแบรนด์นั้นมาจากต่างประเทศ ไม่ได้เป็นแบรนด์ไทยแท้ๆ
 
ทำไมแบรนด์ไทยจำนวนไม่น้อย จึงเลือกใช้ชื่อต่างชาติ คำตอบหลักๆ คือ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้สินค้าดูดี มีระดับ เพื่อให้สามารถตั้งราคาขายได้สูงขึ้น และยังมีในเรื่องของการวางเป้าหมายการขยายตลาดระดับโลกด้วย 
 
มาดูกันว่า มีแบรนด์ไทยอะไรบ้าง ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นสินค้าต่างประเทศ
 
1. ฮาตาริ (HATARI) 


ภาพจาก www.facebook.com/HatariOfficial

พัดลมแบรนด์ไทยที่อยู่คู่บ้านคนไทยมานาน มีจุดเริ่มต้นในปี 2533 โดย คุณจุน วนวิทย์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด หลังจากได้ไปเรียนรู้การพันมอเตอร์จากไต้หวัน เขากลับมาเริ่มผลิตชิ้นส่วนพัดลมพลาสติกในไทย และรับจ้างผลิตพัดลมให้กับแบรนด์ญี่ปุ่นรายใหญ่ ก่อนจะเริ่มทำแบรนด์ของตัวเองในชื่อ Hatari ซึ่งฟังดูคล้ายภาษาญี่ปุ่น แต่ความจริงเป็นคำไทย ที่หมายถึง “อันตราย” สื่อถึง “พลัง ความแข็งแรง ความไม่หยุดนิ่ง” ของแบรนด์ 
 
การใช้ชื่อที่ฟังดู “ญี่ปุ่น” ทำให้ผู้บริโภคมองว่าเป็นแบรนด์ต่างชาติ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และสามารถแข่งขันในตลาดได้แม้เป็นแบรนด์ไทย
 
2. โมชิ โมชิ (Moshi Moshi)
 
 

ร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์ราคาน่ารัก ที่มีสินค้าหลากหลายคล้าย Daiso หรือ Miniso เริ่มต้นจากธุรกิจค้าส่งในตลาดสำเพ็ง เมื่อปี 2543 ภายใต้ชื่อเดิม “บีกิฟท์ จำกัด” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
 
ชื่อ “Moshi Moshi” มาจากคำทักทายภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เวลารับโทรศัพท์ ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นมิตร สดใส และญี่ปุ่นมากๆ จนทำให้คนไทยจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่น
 
กลยุทธ์การใช้ชื่อญี่ปุ่นนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกลุ่มลูกค้า ทำให้ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีมากกว่า 150 สาขา ทั่วประเทศ
 
3. สมูทอี (SMOOTH E)

ภาพจาก www.facebook.com/SmoothEThailand

หนึ่งในแบรนด์เวชสำอางที่อยู่มานานในตลาดไทย ก่อตั้งโดย คุณแสงสุข พิทยานุกูล เภสัชกรที่เริ่มต้นจากร้านขายยาเล็ก ๆ ในย่านสยาม ก่อนจะหันมาทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวด้วยตัวเองในปี 2538
 
ชื่อ “Smooth E” มีความหมายตรงๆ ผิวเรียบเนียน (Smooth) + E ที่อาจหมายถึงวิตามินอี ซึ่งเป็นสารบำรุงผิวที่เป็นจุดขาย
 
การใช้ชื่อภาษาอังกฤษแบบเรียบง่าย ช่วยให้แบรนด์ดูมีความเป็นสากล ทันสมัย และน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภค ทั้งในและนอกประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องสื่อว่าเป็นแบรนด์ไทยโดยตรง
 
4. เดนทิสเต้ (DENTISTE)

ภาพจาก www.facebook.com/DentisteTH

แบรนด์ยาสีฟันไทยที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นของต่างชาติ เพราะชื่อและภาพลักษณ์ดูพรีเมียมมาก ก่อตั้งในปี 2548 โดย คุณแสงสุข พิทยานุกูล เจ้าของเดียวกับสมูทอี
 
ก่อนหน้านี้เขาเคยทำแบรนด์ยาสีฟัน “Plus White” แต่ล้มเหลวมาก ถึงขนาดแจกฟรียังไม่มีคนเอา จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ด้วยการให้ทันตแพทย์ทดลองใช้ก่อน เพื่อเก็บฟีดแบ็ก
 
คำว่า “Dentiste” เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “หมอฟัน” ซึ่งฟังดูหรูหราและเชื่อถือได้ การใช้ชื่อแนวอินเตอร์นี้ ทำให้สามารถเจาะตลาดยาสีฟันระดับพรีเมียมได้อย่างสำเร็จ แตกต่างจากยาสีฟันทั่วไปที่เน้นขายปริมาณหรือราคาถูก
 
5. ดัชมิลล์ (Dutch Mill)
 

ชื่ออาจทำให้นึกถึงโรงสีลมในเนเธอร์แลนด์ แต่แท้จริงแล้ว “ดัชมิลล์” คือแบรนด์ไทยแท้ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2527 โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อาหารจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
ชื่อบริษัทเดิมคือ โปรฟู้ด ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ดัชมิลล์ จำกัด ในปี 2534 โดยเริ่มจากผลิตโยเกิร์ต 4 รส และค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นแบรนด์นมพร้อมดื่มและโยเกิร์ตเบอร์ต้นของไทย
 
การตั้งชื่อว่า “Dutch Mill” ช่วยสร้างภาพลักษณ์นมและผลิตภัณฑ์จากนมในแบบยุโรป ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ ทำให้แบรนด์ดูพรีเมียม และสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้
 
6. ไซโจ เดนกิ (Saijo Denki)
 
ภาพจาก www.facebook.com/Saijodenkiaircon

แม้ชื่อจะฟังดูญี่ปุ่นเต็ม ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ไซโจเดนกิ คือแบรนด์แอร์ของไทย โดยมีจุดเริ่มต้นในปี 2530 จากความร่วมมือของ คุณสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กับนักธุรกิจญี่ปุ่นในเมืองโอซาก้า
 
ต่อมาเจ้าของฝั่งญี่ปุ่นถอนตัวออกจากธุรกิจ ทำให้หุ้นทั้งหมดตกเป็นของคนไทย ปัจจุบันเป็นแบรนด์แอร์ของไทย 100%
 
ชื่อ “Saijo Denki” แปลว่า “เครื่องใช้ไฟฟ้าไซโจ” ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้แบรนด์ดูมีความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ดูเป็นของญี่ปุ่น ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศที่ความน่าเชื่อถือคือสิ่งสำคัญ
 
7. แบล็คแคนยอน (Black Canyon)
 

ร้านกาแฟและอาหารของคนไทย ก่อตั้งในปี 2536 ภายใต้บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด โดย คุณประวิทย์ จิตนราพงศ์ ปัจจุบันมีจำนวนราวๆ มากกว่า 300 สาขาทั้งในและต่างประเทศ 
 
ชื่อร้านได้แรงบันดาลใจจาก “Black Canyon” ที่เป็นชื่อแหล่งธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา สื่อถึงกาแฟเข้มข้นแบบสไตล์อเมริกัน
 
การใช้ชื่อฝรั่งช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่ากาแฟมีคุณภาพระดับโลก เหมาะกับยุคที่คาเฟ่หรือกาแฟต่างชาติเป็นที่นิยมมากขึ้น ปัจจุบันแบล็คแคนยอนมีสาขาทั้งในและต่างประเทศ และยังขายอาหารจานด่วนควบคู่กับกาแฟได้อย่างลงตัว
 
8. สก็อต (SCOTCH)
 
แบรนด์รังนกและซุปไก่สกัดที่อยู่คู่คนไทยมานาน ก่อตั้งในปี 2526 ภายใต้บริษัท สก็อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวสินค้าแรกในปี 2527 ด้วยซุปไก่สกัด สูตรต้นตำรับ ซึ่งต่อมาได้เพิ่มผลิตภัณฑ์รังนกแท้ และอาหารเสริมสุขภาพต่างๆ
 
ชื่อ SCOTCH สะท้อนถึงภาพลักษณ์ต่างประเทศแบบผู้ดีอังกฤษ ทำให้สินค้าดู “พรีเมียม” และมีความน่าเชื่อถือ แม้จริง ๆ แล้วจะเป็นแบรนด์ไทย 100% ก็ตาม
 
9. เฮลซ์บลูบอย (Hale’s Blue Boy)
 

แบรนด์น้ำหวานเข้มข้นที่คุ้นตาคนไทยมากที่สุดในท้องตลาด ก่อตั้งในปี 2502 โดยตระกูล “พัฒนะเอนก” จุดเริ่มต้นจากร้านโชห่วยเล็กๆ ที่พัฒนาสูตรน้ำหวานด้วยตนเอง และทดลองขายที่ร้านก่อนจะได้รับความนิยม
 
ชื่อ Hale’s Blue Boy เป็นภาษาอังกฤษล้วน โดยใช้คำว่า “บลูบอย” ซึ่งหมายถึงเด็กชายชุดน้ำเงินที่เป็นโลโก้ของแบรนด์จนถึงทุกวันนี้ ทำให้สินค้าดูอินเตอร์ สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพได้ดีในยุคที่น้ำหวานส่วนใหญ่ดูธรรมดาๆ 
 
10. คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon)
 

แบรนด์แฟรนไชส์กาแฟไทยในเครือบริษัท ปตท. ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2545 จุดเริ่มต้นเพื่อตอบโจทย์ “คนเดินทาง” โดยตั้งสาขาแรกในปั๊มน้ำมัน ก่อนขยายออกสู่นอกสถานีบริการ และต่างประเทศ
 
ชื่อ Café Amazon ได้แรงบันดาลใจจากป่าฝนอเมซอน ที่สื่อถึงพลังธรรมชาติ ความสดชื่น และกาแฟคุณภาพจากแหล่งปลูกธรรมชาติ ชื่อภาษาอังกฤษช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัย และขยายตลาดต่างประเทศได้สะดวก ปัจจุบันมีมากกว่า 4,600 สาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ
 
11. เดอะพิซซ่าคอมปะนี (The Pizza Company)
 
แม้จะชื่อฝรั่งสุด ๆ แต่แบรนด์นี้คือ แบรนด์พิซซ่าสัญชาติไทย โดยกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป เริ่มต้นในปี 2523 จากการถือแฟรนไชส์ “พิซซ่าฮัท” ก่อนที่ในปี 2544 จะเปิดตัว The Pizza Company อย่างเป็นทางการ หลังยุติความสัมพันธ์กับแฟรนไชส์เดิม
 
ชื่อ The Pizza Company ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นบริษัทพิซซ่าระดับโลก และดูไม่แพ้แบรนด์ต่างชาติ ช่วยให้คนไทยเชื่อถือและยังขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วทั้งในไทยและตปท. นับว่าเป็นแบรนด์พิซซ่าอันดับ 1 ในประเทศไทย 
 
12. เจนเทิลวูแมน (GENTLEWOMAN)
 
ภาพจาก www.facebook.com/gentlewomanstore

แบรนด์แฟชั่นของคนไทยที่โด่งดังจาก Instagram และขยายไปสู่หน้าร้านในห้างต่าง ๆ ก่อตั้งโดย “คุณแพง - รยา วรรณภิญโญ” แนวคิดของการสร้างแบรนด์คือ “ผู้หญิงที่ดูมั่นใจ อ่อนโยน แต่มีพลัง” 
 
จึงใช้คำว่า “Gentlewoman” ที่ตรงข้ามกับคำว่า “Gentleman” ชื่อแบรนด์สะท้อนความเป็นสากล มีเสน่ห์ และดูเข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้หญิงรุ่นใหม่ ช่วยให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว
 
13. แฟลซ เอ็กเพรส (Flash Express)
 
ภาพจาก www.facebook.com/FlashExpressThailand

บริษัทขนส่งไทยที่แจ้งเกิดได้ในยุค E-commerce บูม ก่อตั้งในปี 2560 โดย “คุณคมสันต์ แซ่ลี” และทีมผู้บริหารไทย ชูจุดขาย “ส่งฟรีถึงหน้าบ้าน” เป็นเจ้าแรกๆ ของไทย
 
ชื่อ “Flash Express” ฟังแล้วทันสมัย สื่อถึงความเร็ว ทันใจ และเป็นสากล ช่วยให้แบรนด์ดูไม่น้อยหน้าเจ้าใหญ่ต่างชาติที่เข้าสู่ตลาดไทย อีกทั้งยังรองรับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม ได้ง่ายขึ้นด้วย
 
14. เชสเตอร์ (Chester’s)
 

ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดของคนไทย ก่อตั้งในปี 2531 โดยกลุ่ม CP (เครือเจริญโภคภัณฑ์) จุดเริ่มต้นจาก “เชสเตอร์กริลล์” ที่เน้นขายไก่ย่างและอาหารจานด่วน
 
ชื่อ “Chester’s” ฟังดูคล้ายแบรนด์อาหารฝรั่ง ช่วยให้คนไทยรู้สึกว่าได้ทานอาหารสไตล์ตะวันตกแบบคุณภาพดี ราคาจับต้องได้ โดยไม่ต้องเดินเข้าร้านแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดต่างชาติ
 
15. โออิชิ (Oishi)
 

กลุ่มธุรกิจอาหารญี่ปุ่นที่เริ่มจากร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ในปี 2542 โดย “คุณตัน ภาสกรนที” ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่น ชาเขียวบรรจุขวด และอีกมากมาย
 
ชื่อ “Oishi” แปลว่า “อร่อย” ในภาษาญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ตรงไปตรงมาและจดจำง่าย ช่วยให้คนไทยรู้สึกว่าได้ทานอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ แม้จะเป็นธุรกิจไทย 100% ปัจจุบันเป็นของบริษัทไทยเบฟฯ ที่เข้าซื้อกิจการต่อจากคุณตัน 
 
16. เอส แอนด์ พี (S&P)
 
เริ่มจากร้านขนมเล็กๆ ในปี 2516 บนถนนสุขุมวิท โดยกลุ่มผู้ก่อตั้งใช้ชื่อร้านว่า S&P ตามชื่อย่อของ “สุชาติ” และ “ประภาพรรณ” ชื่อดูง่าย จำง่าย และกลายเป็นที่รู้จักจากเบเกอรี่สไตล์ยุโรป
 
ภายหลังขยายเป็นร้านอาหารครบวงจร ทั้งในไทยและต่างประเทศ มีจุดเด่นคือการพัฒนาเมนูคุณภาพในราคากลางๆ พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือด้วยชื่อที่ฟังดูสากล ไม่จำกัดเฉพาะตลาดไทย
 
17. อาฟเตอร์ ยู (After You)
 
ร้านขนมของไทยที่เติบโตจากร้านเล็กๆ ในทองหล่อ ก่อตั้งโดย “คุณกุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ” ชื่อ After You ให้ความรู้สึกอบอุ่น สุภาพ เป็นมิตร เหมือนคำพูดที่ใช้กับคนใกล้ชิด
 
ชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษยังช่วยให้แบรนด์ดู “อินเตอร์-พรีเมียม” และสามารถวางราคาสินค้าได้สูงกว่าร้านขนมทั่วไป ขณะเดียวกันยังจดจำง่าย เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้ดี ปัจจุบัน After You ยังพัฒนาแบรนด์ย่อย เช่น After You Marketplace และมีแนวโน้มขยายไปต่างประเทศ 
 
18. ZEN 
 
ภาพจาก www.facebook.com/Zenjapaneserestaurant

หลายคนอาจเคยแวะไปร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง “ZEN” แล้วเผลอคิดว่าเป็นร้านแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ด้วยชื่อร้าน บรรยากาศ และเมนูที่ดูญี่ปุ่นแท้ๆ ตั้งแต่หน้าร้านจนถึงจานอาหาร แต่ความจริงแล้ว ZEN คือ แบรนด์ของคนไทยแท้ 100%
 
ZEN ก่อตั้งขึ้นในปี 2534 โดยคุณสุทธิเดช จิราธิวัฒน์ จากวิสัยทัศน์ที่อยากบุกเบิกตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมในประเทศไทย ในยุคนั้นร้านอาหารญี่ปุ่นยังมีไม่มาก และยังเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ แต่ ZEN ต้องการนำวัฒนธรรมการกินแบบญี่ปุ่นมานำเสนอให้กับคนไทย ด้วยคุณภาพและราคาที่จับต้องได้
 
ร้านแรกเปิดที่ซอยทองหล่อ และใช้เวลากว่า 12 ปีกว่าจะขยายสาขาไปต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ZEN อยู่ภายใต้บริษัท ZEN Corporation Group ซึ่งมีแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังหลายแบรนด์ในเครือ
 
คำว่า “Zen” ที่ใช้เป็นชื่อแบรนด์มาจากแนวคิดความเรียบง่าย ที่มีความหมายสื่อถึงการออกแบบเมนูและประสบการณ์ในร้านที่ดูเรียบง่าย แต่แฝงด้วยรายละเอียดและคุณภาพ
 
แม้ทุกอย่างจะดูเป็น “ญี่ปุ่น” ไปหมด แต่จริงๆ แล้ว ZEN คือ แบรนด์ของของคนไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่คุณภาพ บริการ และการสร้างภาพลักษณ์ระดับสากล
 
19. Red Bull
 

ใครจะไปคิดว่าแบรนด์ระดับโลกอย่าง Red Bull ที่ขายดีทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย Red Bull มีจุดเริ่มต้นจากเครื่องดื่มชูกำลังชื่อว่า "กระทิงแดง" ที่พัฒนาโดย คุณเฉลียว อยู่วิทยา นักธุรกิจชาวไทย ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในไทยช่วงปี 2513 โดยมุ่งเจาะกลุ่มคนทำงานและแรงงานทั่วไป
 
ต่อมาในปี 2525 Dietrich Mateschitz นักธุรกิจชาวออสเตรียได้ลองดื่มกระทิงแดงระหว่างเดินทางมาไทย และมองเห็นศักยภาพในการต่อยอดสู่ตลาดโลก จึงร่วมทุนกับคุณเฉลียว นำสูตรไปปรับรสชาติใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวยุโรป และสร้างแบรนด์ใหม่ชื่อว่า “Red Bull” พร้อมเปิดตัวในยุโรปปี 2530 
 
ปัจจุบัน Red Bull คือหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่างคนไทยกับต่างชาติ ที่เติบโตจาก “กระทิงแดง” ของไทยแท้ๆ 
 
20. Greyhound 
 
ภาพจาก www.facebook.com/GreyhoundCafe

Greyhound คือหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นไทยที่สร้างภาพลักษณ์ระดับโลกจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ต่างประเทศ ด้วยชื่อภาษาอังกฤษดีไซน์มินิมอล และคาเฟ่สุดชิคที่กระจายอยู่ทั่วเอเชีย
 
ก่อตั้งโดย คุณภาณุ อิงคะวัต นักโฆษณาชื่อดังในปี 2523 เริ่มต้นจากร้านเสื้อผ้าบูติกเล็ก ๆ ที่สยามเซ็นเตอร์ ก่อนจะค่อย ๆ ขยายสู่แบรนด์แฟชั่นเต็มตัว และเปิดตัว Greyhound Café ที่ผสมผสานแฟชั่นกับอาหารฟิวชันสุดครีเอทีฟ
 
Greyhound โดดเด่นเรื่องการออกแบบและไลฟ์สไตล์ ทำให้สามารถส่งออกแบรนด์ไทยไปยังหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ลอนดอน มาเลเซีย ฯลฯ และยังคงรักษาภาพลักษณ์แบบ "ฝรั่งจ๋า" ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี
 
21. Hanami 
 
เอ่ยชื่อ “Hanami” ขนมเกรียบกุ้งฮานามิ ทำให้ใครหลายคนคิดว่าเป็นขนมนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วเป็นข้าวเกรียบกุ้งแบรนด์ไทยแท้ที่อยู่เคียงคู่คนไทยมายาวนานตั้งแต่ยุค 80s
 
ผลิตโดย บริษัท สยามยีสต์ จำกัด แบรนด์ Hanami เปิดตัวด้วยกลยุทธ์การใช้ชื่อและภาพลักษณ์แบบญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ที่แปลว่า “ชมดอกซากุระ” ไปจนถึงแพ็กเกจ โฆษณา และธีมสินค้าที่มักเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น
 
แม้จะดูญี่ปุ่นจ๋า แต่ Hanami คือขนมไทยแท้ๆ ที่ผลิตในประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้สำเร็จ
 
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของแบรนด์ไทยที่ใช้ความต่างชาติ มาเป็นกลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์และขยายตลาด 
 
22. Jian Cha 
 

ภาพจาก www.facebook.com/Jiancha.tea

แบรนด์ชาไทยที่หลายคนคิดว่าเป็นแบรนด์จากจีน เพราะชื่อร้าน หน้าร้าน และคอนเซ็ปต์ ล้วนทำให้เชื่อว่าเป็นแบรนด์จีน แต่ความจริง คือ Jian Cha เป็นแบรนด์ของคนไทย 100% ก่อตั้งในช่วงปลายปี 2566 จาก 3 หุ้นส่วนรุ่นใหม่ ได้แก่ คุณพลอย สุอาภา, คุณแฮป ภาณุวัชร และ คุณ Peter Peng Tao
 
ทำไมคนไทยเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์จีน เพราะชื่อภาษาจีนเต็มรูปแบบ “Jian Cha” ที่แปลว่า “ชาเพื่อสุขภาพ”
 
คอนเซ็ปต์เน้นกลิ่นอายราชวงศ์จีนโบราณ การดีไซน์ร้าน เมนู และแก้วเครื่องดื่ม ล้วนใช้สไตล์จีนโมเดิร์น ไม่มีภาษาไทยในชื่อแบรนด์ ทำให้หลายคนคิดว่าเป็นแฟรนไชส์จากจีน
 
กลยุทธ์ใช้ชื่อต่างประเทศของแบรนด์ไทย
ข้อดี
  1. เสริมภาพลักษณ์ให้ดูอินเตอร์ ชื่อที่ฟังดูเหมือนต่างชาติ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้านั้นมีมาตรฐานระดับสากล และทันสมัย เช่น ชื่อที่ฟังดูญี่ปุ่นหรือยุโรป ทำให้คนมองว่าแบรนด์นั้นมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมาตรฐานสูง
  2. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มลูกค้า คนไทยมักเชื่อถือสินค้าต่างชาติมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า แอร์ หรือเครื่องสำอางต์ ที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ
  3. ตั้งราคาให้สูงขึ้นได้ แบรนด์ที่ดูเป็นต่างชาติจะถูกมองว่าพรีเมียมกว่าแบรนด์ไทย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาสินค้าให้สูงกว่าปกติได้ เช่น Saijo Denki ที่ใช้ชื่อญี่ปุ่น ก็ทำให้แอร์ราคาสูงแต่ขายดี
  4. ง่ายต่อการขยายตลาดต่างประเทศ ชื่อที่เป็นสากล หรือดูไม่ผูกติดกับชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไป จะช่วยให้แบรนด์เข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้ง่าย โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ เช่น Hatari ที่ชื่อฟังดูอินเตอร์ สามารถขายได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ
  5. หลีกเลี่ยงภาพแบรนด์ไทยคุณภาพต่ำ แบรนด์ไทยบางยี่ห้อกลัวว่าคนจะมองว่าสินค้าธรรมดาๆ หรือคุณภาพต่ำ การใช้ชื่อดูต่างชาติช่วยหลีกเลี่ยงความคิดลบนี้ ทำให้ผู้บริโภคให้โอกาสสินค้าและเชื่อมั่นในคุณภาพมากขึ้น
ข้อเสีย
  1. เสียโอกาสสร้าง Soft Power การใช้ชื่อไทยที่โดดเด่นและมีความหมาย อาจช่วยสร้างเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักในระดับโลกได้ เช่น Muji (ญี่ปุ่น), Uniqlo (ญี่ปุ่น), IKEA (สวีเดน) ที่ใช้ชื่อประเทศตัวเองแต่โด่งดังทั่วโลก แต่ถ้าใช้ชื่อดูต่างชาติแล้วไม่แสดงความเป็นไทยเลย ก็อาจพลาดโอกาสในการเป็นแบรนด์ที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรมไทยในตลาดโลก
  2. ผู้บริโภคอาจรู้สึกถูกหลอก หากลูกค้ารู้ทีหลังว่าแบรนด์นั้นเป็นของไทย แต่ใช้ชื่อให้ดูเหมือนต่างชาติ อาจทำให้รู้สึกไม่จริงใจ หรือถูกหลอกในแง่ของภาพลักษณ์ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า
  3. การจดจำในตลาดท้องถิ่นลดลง ชื่อที่เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศ บางครั้งจะไม่ติดหูคนไทยเท่าชื่อไทยที่มีความหมายชัดเจน ทำให้ลูกค้าในประเทศอาจจดจำแบรนด์ได้ยาก หรือไม่เกิดความผูกพันมากเท่าที่ควร 
แบรนด์ “ต่างประเทศ” ที่คนไทยนึกว่า “ของไทย”
 
หลายแบรนด์ต่างชาติที่เราคุ้นตากันดีในชีวิตประจำวัน กลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ไทย เพราะชื่อเรียกง่าย เข้าถึงง่าย หรือใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้กลมกลืนกับตลาดไทยได้อย่างแนบเนียน จนคนไทยจำนวนมากไม่รู้ว่า ไม่ใช่แบรนด์ไทยแท้
 
มาดูกันว่า แบรนด์ไหนบ้างที่ “แปลงโฉม” มาแบบแนบเนียน จนเราคิดว่าเป็นของไทย
 
1. RosDee (รสดี) 
 

“รสดี” คือเครื่องปรุงที่หลายบ้านใช้เป็นประจำ โดยเฉพาะในเมนูต้มจืด ผัดผัก หรือหมักหมู แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังแบรนด์ที่คนคิดว่าเป็นของไทย ผู้ผลิตคือ Ajinomoto บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น
 
อายิโนะโมะโต๊ะพัฒนา “รสดี” ขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดคนไทยโดยเฉพาะ ด้วยชื่อที่ฟังง่าย เข้าใจทันทีว่า “ทำให้รสชาติอาหารดีขึ้น” จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องปรุงที่ติดตลาดยาวนาน
 
โฆษณาและพรีเซ็นเตอร์ก็เป็นครอบครัวไทย การสื่อสารก็เป็นภาษาท้องถิ่น ไม่มีวี่แววของภาษาญี่ปุ่น จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเข้าใจผิดว่า “รสดี” เป็นแบรนด์ไทย 100%

2. Knorr (คนอร์) 
 

“คนอร์” เป็นอีกแบรนด์ที่คุ้นเคยในครัวเรือนไทย ไม่ว่าจะเป็นซุปก้อน ผงปรุง หรือบะหมี่สำเร็จรูป แต่ต้นกำเนิดของแบรนด์นี้อยู่ไกลถึง ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2381 และปัจจุบันอยู่ในเครือของ Unilever บริษัทระดับโลกจากอังกฤษ เนเธอร์แลนด์
 
แม้จะเป็นแบรนด์ต่างชาติ แต่ Knorr สามารถ “ปรับตัว” จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินไทย ไม่ว่าจะเป็นสูตรต้มยำ ต้มจืด หรือการโฆษณาที่ใช้บริบทครอบครัวไทยแบบเต็มที่
 
ชื่อ “คนอร์” ที่ออกเสียงแบบไทยๆ ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ที่ผลิตขึ้นมาในประเทศไทยนั่นเอง 
 
3. Bata (บาจา) 
 
หากพูดถึงรองเท้านักเรียน รองเท้าหนัง หรือรองเท้าแตะที่ใช้ทน ใช้นาน คำว่า “บาจา” คงผุดขึ้นในหัวใครหลายคนทันที แต่เชื่อหรือไม่ว่า Bata เป็นแบรนด์จากยุโรป ก่อตั้งที่สาธารณรัฐเช็ก ตั้งแต่ปี 2437 ก่อนจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปสวิตเซอร์แลนด์
 
บาจาเข้ามาในไทยตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลก ทำให้แบรนด์ฝังรากในวัฒนธรรมไทยมานาน อีกทั้งยังผลิตสินค้าในไทย ใช้ชื่อที่เรียกง่าย และมีราคาจับต้องได้ ทำให้กลายเป็นรองเท้าประจำประเทศไทย โดยไม่รู้ว่ามาจากต่างแดน
 
4. Lipovitan-D (ลิโพ) 
 

“ลิโพ” คือชื่อที่คนไทยคุ้นหูในกลุ่มคนทำงาน คนขับรถ และแรงงานทั่วไป ด้วยภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่วางขายทั่วไปในร้านสะดวกซื้อ แต่แท้จริงแล้ว ลิโพวิตันดี (Lipovitan-D) คือเครื่องดื่มจากบริษัท Taisho Pharmaceutical ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกในปี 2505 และเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มชูกำลังรุ่นบุกเบิกของโลก
 
ชื่อ “ลิโพ” ที่สั้น กระชับ ฟังดูเหมือนไทย พร้อมแพ็กเกจเรียบง่ายและโฆษณาแบบบ้าน ๆ ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ไทยแท้
 
5. Birdy (เบอร์ดี้) 
 

“เบอร์ดี้” ถือเป็นแบรนด์กาแฟพร้อมดื่มที่ตีตลาดไทยได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน คนขับรถ หรือสายเข้ม แต่เบื้องหลังคือการพัฒนาโดย Ajinomoto Co., Inc. ประเทศญี่ปุ่น
 
เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2536 โดยปรับสูตรให้ถูกปากคนไทย ทั้งความเข้ม กลิ่น และรสชาติ จนกลายเป็นกาแฟคู่ใจของใครหลายคนมานานกว่า 30 ปี
 
แม้จะใช้ชื่อภาษาอังกฤษ แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่หรูหราจนเกินไป บวกกับการใช้พรีเซนเตอร์ไทยและสื่อสารในบริบทท้องถิ่น ก็ทำให้ “เบอร์ดี้” กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่คนไทยหลงคิดว่าเป็นของบ้านเราเอง
 
สรุป
 
ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อในเพียงไม่กี่วินาที “ชื่อของแบรนด์” จึงไม่ใช่แค่ชื่อเรียก แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาด ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และความตั้งใจของแบรนด์ในการเข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มผู้บริโภค
 
แบรนด์ไทยใช้ชื่อต่างประเทศ เพื่อให้ดูพรีเมียม ทันสมัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น ดัชมิลล์, Greyhound, After You, Jian Cha สามารถสร้างภาพลักษณ์เหมือนแบรนด์อินเตอร์ พร้อมขยายตลาดต่างประเทศ
 
ส่วนแบรนด์ต่างประเทศใช้ชื่อไทย เพื่อให้เข้าถึงใจผู้บริโภคไทยง่ายขึ้น เช่น รสดี, คนอร์, ลิโพ, เบอร์ดี้ ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงคู่และเข้าใจคนไทยออย่างแท้จริง ทั้งที่จริงแล้วเป็นแบรนด์ต่างชาติ
 
สุดท้ายแล้ว ชื่อแบรนด์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อไทยหรือฝรั่ง แต่ต้องสามารถสื่อสารได้ชัด เข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้ ที่สำคัญก็คือ ตัวผลิตภัณฑ์ต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในวงกว้าง 
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
AI คลื่นลูกที่ 5 ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเป็นเพื่อนค..
839
เทรนด์การตลาดส่งท้ายปี 2025 เมื่อผู้บริโภค “คิดเ..
661
5 ปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ปรับสมดุลชีวิตเพื่..
554
สสปท. มอบโล่ Zero Accident ย้ำความปลอดภัยคือราก..
481
จักรวาลร้านสเต็ก ข้างทาง ใครเจ้าตลาด
466
ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่..
441
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด