บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
275
2 นาที
25 กันยายน 2568
5 สูตรลับเปิดร้านอาหาร ไม่ต้องเฝ้าร้าน พนักงานเดินตามระบบ
 

เปิดร้านอาหารยังไงให้ไปรอดมีกำไรได้ทุกเดือนในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้? ถ้าดูความเสี่ยงนอกจากเรื่องกำลังซื้อที่ลดลงก็ยังมีอีกหลายเรื่องให้ปวดหัว
  • ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18-25% โดยเฉพาะวัตถุดิบนำเข้า. คิดเป็นสัดส่วนต้นทุน 30-40% ของร้านอาหาร
  • ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 400-470 บาท/วัน ในบางพื้นที่ เพิ่มต้นทุนราว 5%
  • ค่าไฟฟ้าและน้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-15
  • การแข่งขันสูง โดยร้านอาหารเปิดใหม่กว่า 60% ปิดตัวภายใน 3 ปีแรก
  • โอกาสขาดทุนในปีแรกที่เปิดร้านสูงกว่า 30-40% 
มีคนกล่าวว่าถ้าเปิดร้านอาหารแล้วขายไม่ดี แบบนี้ไม่เรียกว่าธุรกิจแต่น่าจะเป็นงานอดิเรกมากกว่า  แต่ในความจริงคงไม่มีใครอยากขาดทุน ลองไปดู 5 เคล็ดลับ เปิดร้านอาหารขายดี! ช่วยให้มีกำไรทุกเดือน
 
1. วางแผนการเงินให้รัดกุม การจัดการการเงินเป็นหัวใจสำคัญของร้านอาหารที่ยั่งยืน เราต้องรู้ต้นทุนและกำไรอย่างชัดเจน
 
  • คำนวณต้นทุนต่อจาน: สมมุติว่าเปิดร้านขายข้าวผัดกะเพรา จานละ 60 บาท ต้นทุนวัตถุดิบ (ข้าว, เนื้อ, ผัก, เครื่องปรุง) อยู่ที่ 20 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าแรง, ค่าน้ำไฟ) อีก 10 บาทต่อจาน ต้นทุนรวมคือ 30 บาท จะได้กำไร 30 บาทต่อจาน (50% จากราคาขาย)
  • ตั้งเป้ากำไร: ถ้าต้องการกำไร 50,000 บาทต่อเดือน และกำไรต่อจานคือ 30 บาท ต้องขายให้ได้ 1,667 จานต่อเดือน หรือประมาณ 55 จานต่อวัน (30 วัน)
  • ควบคุมสต็อก: ใช้ระบบ FIFO (First In, First Out) เพื่อลดของเสีย เช่น ผักสดที่ซื้อมาก่อนต้องใช้ก่อน ช่วยลดต้นทุนจากของเน่าเสียได้ประมาณ 5-10% ต่อเดือน
2. สร้างเมนูที่โดดเด่นและจำง่าย เมนูที่ดีไม่เพียงแต่อร่อย แต่ต้องมีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ลูกค้า
 
  • เลือกเมนูซิกเนเจอร์: เช่น อาจมีเมนู “กะเพราลาวา” ที่เสิร์ฟพร้อมไข่ดาวเยิ้มๆ ในราคา 80 บาท ซึ่งแตกต่างจากร้านอื่นและจะเป็นจุดขายได้
  • จำกัดจำนวนเมนู: ไม่ควรเกิน 20-30 รายการ เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดการวัตถุดิบและเพิ่มความเร็วในการเสิร์ฟ
  • ตั้งราคาให้เหมาะสม: ควรสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า เช่น ร้านในย่านมหาวิทยาลัยอาจตั้งราคาเมนูเฉลี่ย 50-80 บาท แต่ร้านในห้างอาจตั้งที่ 100-150 บาท
3. การตลาดออนไลน์ต้องปัง ในยุคดิจิทัล การตลาดออนไลน์คือเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดลูกค้า
 
  • ใช้โซเชียลมีเดีย: โพสต์รูปอาหารสวยๆ ใน Instagram และ TikTok เช่น คลิปสั้นๆ แสดงวิธีทำกะเพราลาวา อาจได้ยอดวิว 10,000 ครั้ง และดึงลูกค้าใหม่ 50-100 คนต่อสัปดาห์
  • โปรโมชันดึงดูดใจ: เช่น ซื้อครบ 300 บาท แถมน้ำ 1 ขวด หรือโปร “1 แถม 1” ในช่วงเวลา 14:00-16:00 น. เพื่อเพิ่มยอดขายช่วงที่ร้านเงียบ
  • ลงแพลตฟอร์มเดลิเวอรี: เช่น GrabFood หรือ LINE MAN แม้จะเสียค่าคอมมิชชัน 20-30% แต่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ 30-50% โดยเฉพาะในวันฝนตก
4. บริการดี ลูกค้าติดใจ การบริการที่ดีสร้างความประทับใจและทำให้ลูกค้ากลับมาซ้ำ
 
  • ฝึกพนักงานให้ยิ้มแย้ม: พนักงานที่ทักทายลูกค้าด้วยรอยยิ้มและแนะนำเมนูได้ดี ช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการได้ถึง 70%
  • ความเร็วในการเสิร์ฟ: ตั้งเป้าเสิร์ฟอาหารภายใน 10-15 นาทีหลังสั่ง ลดการรอคอยที่ทำให้ลูกค้าหงุดหงิด
  • รับฟังความคิดเห็น: ใช้กล่องรับความเห็นหรือสอบถามผ่าน LINE Official เพื่อปรับปรุง เช่น ลูกค้าบ่นว่ารอนานเกินไป เราอาจเพิ่มพนักงานในช่วงเวลาเร่งด่วน
5. วิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลและปรับปรุงจะช่วยให้ร้านยู่รอดและเติบโต
 
  • เก็บข้อมูลยอดขาย: ใช้ POS (Point of Sale) หรือโปรแกรมอย่าง KPOS เพื่อดูว่าเมนูไหนขายดี เช่น ถ้าข้าวผัดกะเพราขายได้ 60% ของยอดขายทั้งหมด อาจเพิ่มเมนูในหมวดนี้
  • วิเคราะห์ลูกค้า: ถ้าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา อาจเพิ่มเมนูราคาประหยัดหรือเซ็ตอาหารกลางวันในราคา 99 บาท
  • ปรับปรุงตามฤดูกาล: เช่น หน้าฝนอาจเพิ่มเมนูต้มยำร้อนๆ หรือหน้าร้อนเพิ่มเครื่องดื่มเย็นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายได้ 10-15%
มีตัวอย่างของร้านชื่อดังที่ประสบความสำเร็จจากการนำเคล็ดลับ 5 ข้อนี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้าน Greyhound Cafe ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นที่ผสมผสานอาหารไทยกับนานาชาติ มีสาขาในห้างสรรพสินค้าหลักๆ ในกรุงเทพฯ และรายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี

โดยเน้นกลุ่มลูกค้าหนุ่มสาววัยทำงาน ใช้รูปแบบวางแผนการเงินที่รัดกุม โดยคำนวณต้นทุนต่อจานไม่เกิน 35% (เช่น สลัดไทยต้นทุน 50 บาท ขาย 250 บาท) และใช้ซอฟต์แวร์จัดการสต็อกเพื่อลดของเสีย 10% เป้ากำไรเดือนละ 200,000 บาทต่อสาขา และมีเมนูโดดเด่นที่จำง่ายเช่น "Papaya Salad Roll" และ "Tom Yum Pasta" เป็นต้น  ร่วมกับการทำตลาดออนไลน์ครบถ้วนทั้ง Instagram และ Facebook Ads ที่แม้จะมีต้นทุนเพิ่มแต่ลูกค้าก็เพิ่มเช่นกัน 
 
หรืออีกร้านที่เป็นตัวอย่างน่าสนใจคือ After You ที่ใช้หลักการเดียวกันในการวางแผนต้นทุนวัตถุดิบต่อชิ้นไม่เกิน 20% และตั้งเป้ากำไร40% ต่อเดือน โดยใช้ FIFO ลดของเสียจากขนมสด 5-8% ผสมผสานกับเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์และใช้ตลาดออนไลน์ อีกอย่างที่น่าสนใจคือการใช้ data analytics จาก POS ปรับเมนูตามเทรนด์ส่งผลให้กำไรเพิ่มถึง 25%
 
แม้ว่าเคล็ดลับเหล่านี้อาจต้องมีการลงทุนเพิ่มบ้าง แต่ในยุคที่การแข่งขันสูง ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้อง ซึ่งหากไม่พัฒนาตัวเองและมั่นใจในสิ่งที่มีก็ไม่ต่างจากการอยู่ในกะลาครอบที่เชื่อมั่นว่าตัวเองดีที่สุด เจ๋งที่สุด ในขณะที่คู่แข่งอื่นเขาพัฒนาไปไหนต่อไหน สุดท้ายธุรกิจจากที่เคยเป็นผู้นำก็จะกลายเป็นผู้ตามและจะกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่สุด
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สร้างรายได้จาก กระเบื้องยางSPC วัสดุปูพื้นยอดนิย..
568
หมดยุคทอง อพาร์ตเมนต์-หอพัก จากเสือนอนกิน สู่แมว..
549
ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?
508
ประกาศเซ้ง! แบรนด์แฟรนไชส์จีนหมดแรง แซงไทยไม่ไหว
482
รวมเทคนิค “ดิ้นสู้” วิกฤติร้านอาหารปี 2568 ทำยัง..
447
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป
434
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด