บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การหาลูกค้า วิจัยทางการตลาด
7.4K
2 นาที
29 พฤษภาคม 2556
6 แนวคิดการตลาดดีๆ ที่พบได้ในชีวิตประจำวัน


 
ศาสตร์การทำการตลาดนั้นถ้าหากสังเกตดูดีๆ แล้วจะพบว่ามีความใกล้ชิดและใกล้เคียงกับรูปแบบการใช้ชีวิตและกิจกรรมประจำวันอยู่มาก ไม่ว่า จะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนฝูงที่ต้องอาศัยทักษะการเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกเชื่อและยอมรับเรา

หรือแม้แต่การจีบสาวที่ต้องทำการโน้มน้าวให้เขาเห็นจุดเด่นหรือส่วนที่ดีของเรา เป็นต้น กิจกรรมที่เราเห็นในชีวิตประจำวันเหล่านี้แท้ที่จริงก็คือการทำการตลาดเพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราเกิดความรู้สึกพึงพอใจและเลือกสิ่งที่เรานำเสนอในที่สุด และนี่คือ 6 เทคนิคการนำเรื่องใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้กับการทำมาเก็ตติ้งได้โดยไม่ยาก
 
1. เล่าเรื่องเดียวกันแต่คนละแบบเพราะการรับรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน
 
เนื่องจากลูกค้าหรือผู้ฟังแต่ละคนมีลักษณะการรับรู้ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เวลาที่เราติดต่อสื่อสารกับแต่ละคนควรเลือกลักษณะการนำเสนอให้ ถูกต้องและเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภท เพราะเราคงไม่เล่าเรื่องปัญหาชีวิตรักให้กับเพื่อนและแม่ของเราฟังในเวอร์ชั่นเดียวกันหรอก จริงไหม? นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราจึงต้องปรับเปลี่ยนเรื่องราวปรับเปลี่ยนวิธีการในการนำเสนอของเราเพื่อให้ผู้ฟังของเราเข้าใจและรับรู้ในสิ่งที่เราต้องการสื่อได้ตรงเป้าหมายอย่างที่เราต้องการจริงๆ
 
ควรเลือกลักษณะการนำเสนอให้ถูกต้องและเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภท
 
 
 
2. สร้างคุณค่าเพื่อเรียกลูกค้าดีกว่าไล่จับลูกค้า
 
หยุดการไล่ตื๊อลูกค้ากันเถอะ เพราะวิธีนี้นอกจากจะใช้ไม่ได้ผล แต่ยังส่งผลเสียให้บรรดาลูกค้าของเราเกิดความรำคาญอีกด้วย ลองคิดดูให้ดีๆ ว่าจำเป็นไหม ที่การทำการตลาดทุกครั้งจะต้องเป็นการเข้าหาลูกค้าเพื่อให้เขาซื้อสินค้าหรือตอบสนองกับเรา ในปัจจุบันนั้นมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากมายที่ไม่ต้องใช้วิธีนี้สักเท่าไร ซึ่งแทนที่จะวิ่งตามลูกค้าแบรนด์เหล่านี้กลับเลือกวิธีสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าแทน
 
ตัวอย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวอย่างเลย์ก็ใช้วิธีให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการทำ R&D โดยการจัดประกวดรสชาติใหม่ๆ และให้ลูกค้าทั่วไปมีโอกาสได้โหวตรสชาติที่ตัวเองชื่นชอบอีกด้วย หรือบริษัทในเครือ SCG หรือปตท. ซึ่งเน้นการทำประโยชน์และความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกด้านบวกต่อแบรนด์และส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีที่น่าสนใจมากมายซึ่งได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันและดูดีกว่าการไล่ตามความคิดของลูกค้าเหมือนแต่ก่อน
 
3. ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต ลองเลือกตอบโจทย์เหล่านั้นในมุมมองที่แตกต่าง
 
อย่าเพิ่งสนใจว่าเรากำลังขายอะไรเป็นอันดับแรก เพราะไม่ว่าจะขายกระเป๋าราคาสุดแพงหรืออาหาร สุดท้ายเราก็ต้องหันมาสนใจเป้าหมายของ ลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอายุเท่าไร โดยเนื้อแท้ของมนุษย์เกือบทุกคนนั้นมีเป้าหมายในชีวิตและอาจอยู่ในช่วงกำลังค้นหาตัวเอง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นอาจยังไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาต้องการอะไร การเสนอทางเลือกหรือแนวทางการเรียนรู้ใหม่ๆ อาจทำให้พวกเขาสนใจในสินค้าและการบริการของเราก็ได้ เพราะคนเรานั้นชอบมองหาอะไรใหม่ๆ และไม่หยุดที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้น
 
การเสนอทางเลือกหรือแนวทางการเรียนรู้ใหม่ๆ อาจทำให้ลูกค้าสนใจในสินค้าและการบริการของเรา
 
 
 
4. หาไอเดียเพื่อเพิ่มความคิดสร้างสรรค์
 
แบรนด์ส่วนมากที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่มาจากความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น อย่างบริษัท Apple ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมากในการสร้างอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ให้กับคนส่วนมากได้อย่างดีเยี่ยมจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มักเริ่มมาจากไอเดียจากหลายๆ ที่เท่าที่จะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้งานศิลป์ อ่านหนังสือ ออกไปท่องเที่ยว หรือแม้แต่การท่องเว็บเพื่อหาข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาประกอบกันเป็นไอเดียดีๆ สักอย่าง
 
ซึ่งการเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์นั้นทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่เปิดหูเปิดตาและดูความเป็นไปว่าในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นรอบๆ ตัวบ้าง รู้จักสังเกต และเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเพื่อนำเป็นแบบอย่าง แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นอาจไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรากำลังทำซะทีเดียว แต่ว่าบางอย่างก็สามารถเลือกที่จะนำมาปรับใช้ได้ เพียงแค่เราลองเพิ่มให้โอกาสตัวเองสักหน่อยเท่านั้นเอง
 
5. แม้แต่ไอเดียที่ดูไม่น่าจะดี ก็อาจมีแง่มุมที่น่าสนใจซ่อนอยู่
 
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไอเดียดีๆ หลายๆ อย่างต้องตายไปก่อนที่จะได้นำเสนอและถูกนำมาใช้อย่างน่าเสียดายก็คือความกลัวที่จะโดนปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการรู้จักรับฟังและรู้จักตอบรับอย่างสุภาพ แทนที่เราจะคอยใช้คำพูดปฏิเสธว่าไอเดียนี้ไม่ดี ไม่เห็นด้วย เปลี่ยนมาเป็นคำพูดที่ว่า ไอเดียนี้น่าสนใจดีนะ “ถ้าเราลองนำไอเดียมา…ดูนะ” แค่พยายามอย่าคิดว่าไอเดียที่เสนอมาเป็นไปไม่ได้ แต่พยายามหาวิธีประยุกต์ใช้ก่อนหรือลองเปลี่ยนแนวทางการใช้ดูก็อาจทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ขึ้นมาก็ได้
 
 
 
6. แก้ปัญหาลูกค้าให้ได้ก่อนจะเสนอขายสินค้า
 
ในโลกของการทำมาเก็ตติ้งสิ่งหนึ่งที่คนเราชอบเข้าใจผิดๆ คือการเน้นขายสินค้าโดยการเล่าเรื่องของตัวเอง ของบริษัท ของสินค้า หรือสิ่งต่างๆ ที่เราอยากจะเสนอขายเป็นอันดับแรก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วลูกค้าเพียงต้องการอยากรู้แค่ว่าสินค้าหรือบริการเราจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้อย่างไรต่างหาก ดังนั้นแทนที่จะนำเสนอถึงตัวเราและ ผลิตภัณฑ์ที่จะขาย ควรเปลี่ยนมาเป็นการให้คำแนะนำและอธิบายว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างไรได้บ้างจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความสนใจที่จะซื้อมากกว่า
 
ลูกค้าเพียงต้องการอยากรู้แค่ว่าสินค้าหรือบริการของเราจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้อย่างไร
 
จากทั้ง 6 เทคนิคจะสังเกตได้ว่าที่จริงแล้วการทำมาเก็ตติ้งช่างดูเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ โดยหลักการส่วนใหญ่ที่ใช้ก็สามารถฝึกฝนได้จากการใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่แล้ว เพียงแค่เรารู้จักสังเกตและนำมาประยุกต์ใช้เพียงเท่านี้มาเก็ตติ้งก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

อ้างอิงจาก  KSMECare
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด