หากพูดถึงร้านไอศกรีมที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวไทยในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น “สเวนเซ่นส์” เพราะอยู่คู่กับคนไทยมายาวนานกว่า 30 ปี ภายใต้การดูแลของ The Minor Food Group ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ผลิตไอศกรีมแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่สามารถทำให้ไอศกรีมสเวนเซ่นส์สั่นคลอน และลดความนิยมในหมู่ผู้บริโภคลงได้ อีกทั้งยังครองส่วนแบ่งการตลาดไอศกรีมพรีเมี่ยมมากกว่า 70% นั่นแสดงให้เห็นว่าสเวนเซ่นส์มีของดีและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ 
 

วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com จะพาคุณไปเจาะลึกเกี่ยวกับร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ ถึงความเป็นมาเป็นไป สูตรผสมความสำเร็จที่สามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ 

 

 

จากความชื่นชอบไอศกรีมของกลาสีเรือชาวอเมริกัน Mr.Earle Swensen's และได้พบเครื่องทำไอศกรีมขนาดใหญ่ในเรือ ที่เขาประจำการในปี ค.ศ.1942 จึงใช้เวลาว่างคิดค้นไอศกรีมรสต่างๆ แจกจ่ายเพื่อนฝูงจนกระทั่งปลดประจำการ จนได้เปิดร้าน “Swensen's Ice Cream” ณ มุมถนนยูเนียนและไฮด์ในเมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ.1948
 

สูตรการทำไอศกรีมสเวนเซ่นส์ของเอิร์ล ประกอบด้วยส่วนผสมที่ดีที่สุดและกรรมวิธีผลิตไอศกรีมที่พิถีพิถัน เขาได้ใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมของการพัฒนาสูตรไอศกรีม นั่นก็คือ ทำแล้วชิม ชิมแล้วทำ ครั้งแล้วครั้งเล่า
 

จนในที่สุดก็ได้ค้นพบส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้ลิ้มรสชาติที่เข้มข้นเต็มที่จากไอศกรีม และเชอร์เบททุกรส ประกอบกับเมนูซันเดและพาร์เฟ่ท์สัญลักษณ์ของสเวนเซ่นส์ คนทั่วโลกจึงติดใจกับรสชาติของสเวนเซ่นส์ จนสเวนเซ่นส์ได้ชื่อว่าเป็นร้านไอศกรีมสูตรต้นตำรับยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย

 

 

ต่อมาในปี ค.ศ.1963 สเวนเซ่นส์ได้ขยายกิจการออกไปในรูปแบบเฟรนไชส์ โดยในปี ค.ศ.1983 สตีฟส์ ไอศกรีม ได้รับช่วงดำเนินกิจการต่อโดยสืบทอดคุณภาพ กรรมวิธีการผลิต และรสชาติตามแบบดั้งเดิม กระทั่งมีการขยายเครือข่ายร้านกระจายไปทั่วโลก ในปี ค.ศ.1986 The Minor Food Group ได้ซื้อลิขสิทธิ์กิจการไอศกรีมสเวนเซ่นส์มาดำเนินการในประเทศไทยโดยเปิดที่ เซ็นทรัล พลาซ่าลาดพร้าว เป็นสาขาแรก
 

ความสำเร็จตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ เมนูหลากหลาย การบริการ การตกแต่งร้าน ทำให้ในวันนี้สเวนเซ่นส์ได้ขยายสาขาไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยรูปแบบและลักษณะร้านไอศกรีมที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร มีไอศกรีมหลายรสให้เลือกมากมาย ทั้งซันเด เชอร์เบท และท๊อปปิ้ง ซึ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการพัฒนาเพิ่มรสชาติให้ถูกใจคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา
 

 

ใช้เวลาไม่นานสเวนเซ่นส์ก็กลายเป็นร้านไอศกรีมที่อยู่ในความนิยมของชาวไทยอย่างรวดเร็ว จนมาถึงวันนี้ได้เปิดสาขาในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยยึดคุณภาพมาตรฐานเดียวกันกับต้นตำรับอเมริกัน ด้วยส่วนผสมที่คัดสรรจากความสดใหม่ คุณภาพเยี่ยม และไขมันเนยให้ความเข้มขน หวานมัน พร้อมคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมสูตรพิเศษตามฤดูกาล อาทิ ไอศกรีมมะม่วง และผลไม้อื่นๆ หรือแม้แต่ไอศกรีมกลิ่นแอลกอฮอล์ก็มี  
 

สเวนเซ่นส์ถูกสร้างมาจากรากฐานสำคัญ 3 ประการเพื่อลูกค้า นั่นคือ คุณภาพ ปริมาณ และคุณค่าที่คุ้มค่าเงิน มีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันในการเลือกใช้ส่วนผสมและวัตถุดิบที่ดีที่สุด มาทำไอศกรีมเพื่อให้รสชาติอร่อยเข้มข้น และให้ได้มาซึ่งคำว่า “ที่สุดของคนรักซันเด” ทำให้สเวนเซ่นส์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมากกว่า 250 สาขาทั่วประเทศ 
 

นอกจากนี้ สเวนเซ่นส์ยังมีการขยายไปยังต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์  อินเดีย และตะวันออกกลาง จนปัจจุบันนี้ สเวนเซ่นส์ ได้ปรับโฉมรูปแบบบรรยากาศร้านใหม่ สไตล์เออร์เบิร์น อีโค ชิค (Urban Eco Chic) โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติเพื่อตอบรับกระแสลดโลกร้อน ผสมผสานเข้ากับสัญลักษณ์เฉพาะตัวของร้านสเวนเซ่นส์อย่างโคมไฟ ทิฟฟานี่ แลมป์ (Tiffany lamp) ที่ถูกตกแต่งออกมาอย่างลงตัวเข้ากับไลฟ์สไตล์คนเมือง
 

 

ทั้งนี้ จากสูตรความสำเร็จของสเวนเซ่นส์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงได้เปิดโอกาสให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ หรือผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจ เข้าร่วมลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จไปด้วยกันกับสเวนเซ่นส์ 
 

แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลปี 2559 พบว่ารายได้ของสเวนเซ่นส์อยู่ที่ 3,896 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้นคือสาขาของสเวนเซ่นส์เพิ่มขึ้นด้วย ถ้าเอาในไทยอย่างเดียวก็ 330 สาขา จากข้อมูลของโคลสโตนปีนี้ ตลาดไอศกรีมพรีเมี่ยมแมสจะอยู่ที่ประมาณ 6,800 ล้านบาท เท่ากับส่วนแบ่งการตลาดของสเวนเซ่นส์เหลือแค่ 57% เท่านั้น
 

 
ขอบคุณรูปภาพจาก www.facebook.com/weloveswensens