บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    ความปลอดภัย
2.5K
2 นาที
22 พฤษภาคม 2560
7 วิธีป้องกันไม่ให้ SMEs ถูกแฮคเกอร์ได้ง่ายๆ

 
ภาพจาก goo.gl/IEysbC

การลงทุนในยุคสมัยใหม่ต้องมีเรื่องคอมพิวเตอร์มาเกี่ยวข้องแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่บังคับให้คนทำธุรกิจSMEs ต้องก้าวตามเกมให้ทัน

และในขณะที่หลายคนมุ่งหน้าพัฒนาธุรกิจตัวเองในแบบออนไลน์แต่อีกด้านหนึ่งกลับมองข้ามเรื่องความปลอดภัยในด้านฐานข้อมูล จนเมื่อไม่นานมานี้ที่เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับ Wanna Cry มัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่ระบาดไปทั่วโลก จากรายงานข่าวล่าสุดแจ้งว่าคอมพิวเตอร์ในเมืองไทยเองก็โดนเจ้ามัลแวร์ตัวนี้ไปกว่า 200 เครื่องเช่นกัน
 
ในด้านความเสียหายของธุรกิจที่ถูกล้วงตับข้อมูลหรือทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถดึงข้อมูลทางธุรกิจมาใช้ได้ถือเป็นหายนะที่ส่งผลเสียต่อการทำงานเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งSMEs บางแห่งยังถูกล้วงข้อมูลทำให้เกิดความเสียหายและเสียเปรียบทางธุรกิจอย่างมาก

www.ThaiFranchiseCenter.com ลองหาข้อมูลดูและพบว่าจากการสำรวจในปี 2015 พบว่า 9 ใน 10 ขององค์กรขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักรประสบปัญหาอย่างมากจากการที่ข้อมูลภายในรั่วไหล

ในส่วนของประเทศไทยเองข้อมูลจาก แคสเปอร์สกี้ แลป ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวน SME คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 98.5 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจในประเทศทั้งหมด และเป็นแหล่งจ้างแรงงานของประเทศสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก

อีกทั้งธุรกิจ SME ยังมีสัดส่วนการส่งออกมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้การหาทางป้องกันและรับมือเพื่อไม่ให้ข้อมูลทางธุรกิจถูกมือดีแฮคเกอร์หรือการป้องกันจากมัลแวร์สารพัดพิษทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างมากซึ่งเรามี 7 วิธีที่น่าสนใจนำมาฝากกันดังนี้
 
1.ตั้งรหัสผ่านให้ยากเข้าไว้

 
 ภาพจาก goo.gl/tNr1IH

หลายบริษัทไม่ได้ให้ความใส่ใจเรื่องนี้ แฮกเกอร์จึงเจาะรหัสได้ง่ายมาก เช่น ใช้ตัวเลขล้วนๆ หรือชื่อฮีโร่คนโปรด และจะยิ่งเจาะง่ายยิ่งขึ้น ถ้าแฮกเกอร์รู้ข้อมูลส่วนตัวของเรา หนึ่งในวิธีเลือกรหัสผ่านที่ดีที่สุดคือ การนำอักษรแรกของคำแต่ละคำในประโยคมาเรียงเป็นรหัสผ่าน เช่น “Bangkok is my birthplace in 1992” สามารถดัดแปลงเป็น “bimbin92” นี่คือรหัสที่ยากและซับซ้อน แต่เราสามารถจำได้เพราะมาจากข้อมูลส่วนตัวของเราเอง
 
2.ติดตั้ง Firewall

 
ภาพจาก goo.gl/G2VEJo

เรารู้ดีว่าเราจะต้องติดตั้ง Firewall เพื่อป้องกันไวรัสอยู่แล้ว แต่ Firewall ธรรมดาๆ ก็ยังไม่สามารถจะหยุดยั้งแฮกเกอร์ที่อยากจะเจาะข้อมูลเราได้ จึงต้องมีโปรแกรมกำจัดมัลแวร์และ Firewall ที่ดี และอัพเดทให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าเรายังห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายก็ลองเปรียบเทียบกับความเสียหายตอนที่ข้อมูลรั่วไหลออกไปซึ่งน่าจะส่งผลเสียและมากกว่าจะคิดแต่ประหยัดเพียงอย่างเดียว

3.เทรนพนักงานให้รู้เท่าทัน

 
พนักงานที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์มักจะตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นบนโลกอินเทอร์เน็ตโดยแฮกเกอร์สามารถหลอกเอาข้อมูลได้แบบเนียนสุดๆ

ตัวอย่างเช่น ถ้าจะหลอกเอารหัสผ่าน Facebook อาจจะส่งอีเมลแล้วบอกว่า นี่เป็นเมลจาก Facebook และแนบลิงค์มา เพื่อเข้าสู่เว็บปลอมๆ ที่หน้าตาเหมือน Facebook แล้วให้ผู้ใช้กรอกรหัสผ่าน เท่านี้รหัสต่างๆ ที่ใช้ล็อกอินก็จะตกเป็นของแฮกเกอร์เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นการป้องกันในกรณีนี้ก็คือ เราต้องฝึกอบรมให้พนักงานระมัดระวังมากขึ้นในการท่องเว็บต่างๆ

4.การสำรองข้อมูล
 

 
ภาพจาก goo.gl/goNmh9

คอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์อย่างหนึ่งที่มีโอกาสพังและเสียหายได้ การสำรองข้อมูลไว้ก่อนย่อมปลอดภัยแน่นอน ทุกวันนี้เรามีระบบ Cloud ที่สามารถสำรองข้อมูลได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว ช่วยให้เราประหยัดทั้งเวลา สถานที่ ค่าใช้จ่าย แถมยังปลอดภัยมากกว่า

5.แยกเครื่องสำหรับทำธุรกรรมการเงิน
 
การที่ให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลได้ทุกอย่าง อาจทำให้บริษัทของดู โปร่งใส แต่นี่คือการเปิดช่องทางให้แฮกเกอร์หากินได้ง่ายๆ เมื่อมี “error” ขึ้น แค่เจาะพนักงานได้คนเดียวก็สามารถล้วงข้อมูลได้ทุกอย่าง

รวมไปถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทด้วย ทางที่ดีจึงควรมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องหนึ่งแยกออกมาสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินโดยเฉพาะ หรืออนุญาตให้เข้าถึงได้แค่บางคน นอกจากจะทำให้ปลอดภัยมากขึ้นแล้วยังทำให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นด้วย

6.เข้ารหัสข้อมูลที่สำคัญ
 

 
ภาพจาก goo.gl/JYtgVJ

เราควรจะเก็บข้อมูลที่สำคัญในดิสก์ที่ป้องกันด้วยการเข้ารหัสไว้เสมอ เพราะข้อมูลพวกนี้สามารถเข้าถึงได้โดยกุญแจเข้ารหัสพิเศษโดยเฉพาะ ดังนั้นหากแฮกเกอร์ได้ข้อมูลไปและไม่มีกุญแจ

สิ่งที่พวกเขาเห็นก็จะเป็นเพียงแค่ข้อมูลมั่วๆ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้วิจัยดิสก์ข้อมูลของบริษัท Apple ได้ผลสรุปว่าต้องใช้เวลากว่า 34 ปีถึงจะสามารถเปิดข้อมูลที่ถูกปิดไว้ได้ โดยไม่ได้ใช้กุญแจในการเข้ารหัส
 
7.วางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติ
 
แม้แต่ระบบที่ได้รับการป้องกันแน่นหนาที่สุด ก็อาจจะถูกเจาะได้โดยแฮกเกอร์มือโปร ปราการด่านสุดท้ายที่จะปกป้องไม่ให้บริษัทของเราเกิดผลกระทบจนแทบล้มละลายล้ก็คือ การวางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติ (Disaster Recovery Plan) ซึ่งเซอร์วิสแบบนี้เริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีชั้นนำ

บริการพวกนี้อาจคุ้มครองไปถึงการกู้ข้อมูลที่สูญหายหรือค่าเสียหายทั้งหมดจากการคุกคามทางไซเบอร์ แต่เราอาจจะต้องเสียเงินจำนวนหนึ่งต่อปี แต่มันก็คุ้มและดีกว่าที่ต้องมาเริ่มต้นใหม่จากศูนย์
 
วิธีการเหล่านี้เป็นเบื้องต้นในการป้องกันธุรกิจไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของพวกแฮคเกอร์และรวมถึงอาจป้องกันพวกมัลแวรน์สารพัดพิษต่างๆ แต่โลกออนไลน์นั้นมีการอัพเดทตัวเองตลอดเวลาพวกคนโกงในโลกไอทีก็รู้ดีและพยายามหาสารพัดวิธีเช่นกันมาเจาะข้อมูลคอมพิวเตอร์ทางที่ดีคือต้องคอยอัพเดทข่าวสารอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ก้าวทันโลกก้าวทันเล่เหลี่ยมคนโกงเพื่อให้ธุรกิจSMEs เรานั้นมั่นคงแข็งแรงที่สุด
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
434
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
419
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด