บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การตลาดออนไลน์ SEO
3.6K
2 นาที
15 กุมภาพันธ์ 2560
“ใช้ก่อน จ่ายทีหลัง” วิธีทำตลาดในโลกไอทีของ 5 ธุรกิจออนไลน์

เมื่อก่อนเรามีแค่ปัจจัย 4 แต่เดี๋ยวนี้เรามีปัจจัยที่ 5 นั้นคือโทรศัพท์มือถือที่สำคัญถึงขนาดถ้าลืมไว้ที่บ้านตลอดทั้งวันนั้นคนเราแทบจะทำอะไรกันไม่เป็นเลยทีเดียว

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้โทรศัพท์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญกับเรามากคือการมีธุรกิจออนไลน์พวกแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทยอยกันเปิดตัวมาให้บริการด้านหนึ่งคือช่วยทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นง่ายขึ้นแม้จะยอมเสียเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยแต่ฐานลูกค้าเหล่านี้ก็ยินดีและเต็มใจเป็นอย่างมาก
   
จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าในบางแอพเหมือนให้บริการฟรีแล้วเช่นนี้รายได้ของแอพเหล่านั้นมาจากที่ไหนเรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิด www.ThaiFranchiseCenter.com เขียนถึงกลยุทธ์การตลาดแบบออนไลน์ไปบ้างแล้วแต่เพื่อให้เห็นภาพการทำธุรกิจแนวนี้ที่ชัดเจนมากขึ้นเราต้องรู้จักกลยุทธ์ที่เรียกว่า “ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง” ที่บางครั้งเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราได้จ่ายเงินให้กับแอพเหล่านี้ไปแล้ว
 
ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง การทำตลาดแบบ Freemium Apps

เราอาจจะคุ้นเคยกับการใช้แอพแบบต่างๆ บางทีเราก็ใช้กันจนเพลินและสูญเสียเงินให้กับแอพเหล่านี้แบบไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาส่วนใหญ่จะพึงพอใจกับบริการที่ได้รับหรือบางทีเราก็รู้สึกว่าแอพเหล่านี้มีส่วนทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นจึงยอมจ่ายเงินใช้บริการแบบไม่รู้สึกติดใจ

หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่นำไปสู่ความคิดเช่นนั้นก็คือรูปแบบของ Freemium Apps พูดง่ายๆที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ การทำตลาดของธุรกิจออนไลน์แบบใช้ก่อนจ่ายทีหลัง หากยังนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงบรรดาเกมส์ต่างๆที่อยู่ในโทรศัพท์เช่น Farmville หรือ Clash of Clans ที่เริ่มแรกมักจะเปิดใช้เล่นกันฟรีๆ เมื่อเรารู้สึกสนุกก็จะเริ่มมีโหมดเสียเงินที่ทำให้เราเล่นเกมส์ได้ง่ายขึ้น

ผ่านด่านได้ง่ายขึ้น หรือเสียเงินเพื่อซื้อไอเทมอัพเลเวลในเกมส์ แต่สำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่เกมส์กลยุทธ์แบบ Freemium ก็ยังใช้ได้ผลดีเช่นกัน Spotify ก็ถือเป็นแอพฟรีเมี่ยมเช่นกันเพราะคนใช้งานสามารถจ่ายเงินเพื่อแลกกับการฟังเพลงที่มีคุณภาพดีขึ้นและอีกหลายฟีเจอร์ที่ต้องจ่ายเงินก่อนใช้บริการใน Spotify 
 
และอย่าดูถูกการตลาดแนวนี้เป็นอันขาดธุรกิจแบบแอพฟรีเมี่ยมนั้นเพราะในขณะที่บริการแอพพลิเคชั่นธรรมดาก็ว่าทำรายได้ดีพอตัวแล้วแต่แอพแบบฟรีเมี่ยมนี้ทำรายได้ที่ดีกว่าโดยในปี 2016 ที่ผ่านมาสร้างรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 30 พันล้านเหรียญ และคาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 60 พันล้านเหรียญในปี 2020 โดยสรุปแล้วนั้นโฆษณาติดตั้งในมือถือและแอพฟรีเมี่ยมทำรายได้ไปกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดระหว่างปี 2015 และ 2020 กันเลยทีเดียว
 
และต่อไปนี้คือสุดยอด 5 แอพพลิเคชั่นแบบ Freemium ที่โดดเด่นและน่าสนใจที่สุด
 
1.Netflix

Netflix ให้บริการสตรีมมิ่ง เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมที่ใช้โมเดลการเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสมัครสมาชิก และโมเดลนี้ก็กำลังเป็นเรื่องปรกติไปแล้วและทำรายได้ไป 15% จากรายได้ของแอปฯทั้งหมด โดย Netflix ให้ทดลองใช้บริการฟีเต็มๆหนึ่งเดือน เป็นการจูงใจให้ผู้ใช้งานเห็นถึงคุณค่าของแอปฯและช่วย Netflix รักษาฐานผู้ใช้งานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
2.Dropbox

หากจะพูดถึงบริการจัดเก็บไฟล์แล้ว ต้องนึกถึง Dropbox แน่นอน ซึ่งเจ้า Dropbox ได้ทำเงินจากบริการนี้โดยการทะลุข้อจำกัดของตัวเองไป หมายความมว่าแอพตัวนี้จะให้บริการเนื้อที่จัดเก็บไฟล์ที่จำกัดฟรี

ใครอยากได้เนื้อที่เพื่มก็ต้องจ่ายเพิ่มและอีกหลายๆบริการที่ใช้โมเดลฟรีเมี่ยมในลักษณะนี้อย่าง The New York Times ที่จำกัดบทความที่เราอ่านได้ก่อนที่จะเด้งกล่องลงทะเบียนให้เรากรอกเพื่ออ่านบทความทั้งหมด แม้กระทั่งเกมส์อย่าง Candy Crush ก็บังคับให้เราจ่าย 0.99 เซนต์เพื่อปลกล็อกเกมด่านต่อไปเช่นกัน
 
3.Line

เป็นแอพแชทยอดฮิตโดยเฉพาะในไทยอย่าง Line ก็เป็นแอพฟรีเมี่ยมอีกตัวที่ทำยอดขายจากฟีเจอร์เสริมไปได้รวม 1 พันล้านเหรียญ กลายเป็นแอพที่ทำเงิสูงสุดในประเภทแอพที่ไม่ใช่เกมทั้งหมด ยอดขายมากกว่า 40% ถูกกระจายไปอยู่ที่การซื้อขายในแอพเกมโซเชี่ยว ซึ่งแอพพวกนี้โหลดฟรีทั้งหมด มีเพียงแอพไม่กี่ตัวที่ขายสติ๊กเกอร์
 
เชื่อหรือไม่ว่าคนซื้อสติกเกอร์ในแชทแอพเพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการแชท ผู้ใช้งานจะได้สติ๊กเกอร์พื้นฐานฟรี หากอยากได้สต็กเกอร์มากกว่านี้ก็ต้องเช่าไปดูสติ๊กเกอร์อื่นๆใน Library และจ่ายเงินแม้แต่ซื้อสติ๊กเกอร์ให้เพื่อนด้วย
 
4.Trivia Crack

เป็นโมเดลโฆษณาเพื่อจูงใจผู้ใช้งานให้จ่ายเช่น Trivia Crack โดยจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อเอาโฆษณาออกแต่โมเดลนี้มีสมมติฐานอยู่ที่ว่าผู้ใช้งานหาทางอื่นไม่ได้อีกแล้ว วิธีฟรีๆอย่างโมบายและบล็อกเกอร์ก็เอาไว้เอาโฆษณาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แอพพวกนี้ยังเสี่ยงถูกเขี่ยทิ้งหากต้องแข่งกับแอพที่ไม่มีโฆษณารกๆ เพราะผู้ใช้งานจะหันมาใช้แอพของคู่แข่งแทนนั่นเอง
 
5.Spotify

ภาพจาก goo.gl/11QK3O

เป็นแอพฟังเพลงที่ใช้การผสมผสานกันระหว่างการเสียเงินกับไม่เสียเงินภายในแอพเดียวเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เป็นลูกค้าจริงๆเสียที Spotify เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ Spotify ให้บริการสตรีมมิ่งเพลงก็ให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้งานไประยะหนึ่งก่อนที่จะเสนอค่าสมาชิก

ซึ่งวิธีนี้แม้จะเหมือน Netflix  แต่ Spotify ให้ผู้ใช้งานได้ใช้บริการฟรีได้ต่อไปแต่บริการฟรีที่ว่านี้กลายเป็นคนละเวอร์ชั่นกับบริการของสมาชิกไปแล้ว Spotify มีโฆษณาคั่นระหว่างเนื้อเพลง เหมือนกับ Trivia Crack มีคุณภาพเสียงเพลงที่จำกัด หากอยากได้เสียงดีกว่านี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นเดียวกับ Dropbox Spotify ให้คุณจ่ายเพิ่อมเพื่อเอาโฆษณษออก เพื่อคุณภาพเสียงชัดเจนถึง 320kbps แถมให้เข้าถึงบริการฟังเพลงออฟไลน์ด้วย
 
และนอกจากแอพที่กล่าวมานี้แล้วก็ยังมีรูปแบบของแอพฟรีเมี่ยมที่อยู่ในชีวิตประจำวันเราอีกมาก ในชีวิตประจำวันของเราตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะขาดแทบไม่ได้

สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ในลักษณะนี้ก็ควรตั้งโจทย์การตลาดตัวเองให้ดี เติมเต็มในสิ่งที่ผู้บริโภคมีความต้องการ ตลาดแอพพลิเคชั่นยังมีช่องว่างอีกมากแต่พื้นที่นี้สงวนไว้สำหรับคนที่มีหัวการตลาดและมีความชำนาญในเรื่องของไอทีอย่างแท้จริงเท่านั้น


SMEs Tipc (ออกแบบแอพพลิเคชั่นอย่างไรให้ดึงดูดคนใช้)
  1. ใช้งานให้ง่ายขั้นตอนอย่ายุ่งยากโดยเฉพาะการลงทะเบียนเข้าใช้
  2. มีลูกเล่นที่หลากหลายและพัฒนาต่อเนื่อง
  3. เป็นแอพที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของคนเราได้
  4. เมื่อมีฐานลูกค้าอาจเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเป็นทางเลือกให้ลูกค้า
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก  goo.gl/UEKSz9
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
508
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
428
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
408
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด