บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
259
4 นาที
23 ธันวาคม 2568
โหดสุด! สมรภูมิชาจีนยุคใหม่ ไม่เหลือใครไว้ข้างหลัง ปี 2026-2033
 

หากย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องดื่มในเอเชียถูกขับเคลื่อนโดย “กาแฟ” ในฐานะสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ ทว่าในช่วงระยะหลังมานี้ “ชาแบบใหม่จากจีน” (New Chinese Tea) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงรายสำคัญ และกำลังแปรเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องดื่มอย่างมีนัยสำคัญ
 
ชาแบบใหม่ไม่ใช่เพียงการดื่มชาในความหมายดั้งเดิม แต่เป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม รสชาติ สุขภาพ เทคโนโลยี และประสบการณ์ผู้บริโภค จนกลายเป็นสินค้าเชิงไลฟ์สไตล์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง แบรนด์จีนจำนวนมากเริ่มต้นจากร้านขนาดเล็กในเมืองใหญ่อย่างกวางโจว เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ก่อนขยายตัวเป็นเครือข่ายแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคและระดับโลก
 
นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงปี 2026–2033 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากการแข่งขันจะทวีความรุนแรงทั้งในจีนและต่างประเทศ ผู้ประกอบการที่สามารถพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี AI และสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้แบบครบวงจร จะเป็นผู้ครองตลาด ขณะที่แบรนด์ซึ่งปรับตัวไม่ทันมีความเสี่ยงที่จะถูกคัดออกอย่างรวดเร็ว
 
ปรากฏการณ์ชาแบบใหม่สะท้อนแนวโน้มสำคัญของธุรกิจเครื่องดื่มยุคใหม่ 3 ประการ ได้แก่
  1. เครื่องดื่มไม่ได้เป็นเพียงสินค้า แต่เป็นแพลตฟอร์มสร้างแบรนด์และตัวตน
  2. การแข่งขันไม่ได้วัดกันแค่รสชาติ แต่ครอบคลุมเทคโนโลยี การตลาด และซัพพลายเชน
  3. ความเร็วในการปรับตัว คือปัจจัยชี้ขาดความอยู่รอด
ขนาดตลาดและแรงขับเคลื่อนชาแบบใหม่ในจีน–ต่างประเทศอาเซียน
 
ข้อมูลตลาดชี้ชัดว่า “ชาแบบใหม่” (New Chinese Tea) กำลังกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิการแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในเอเชีย

ตลาดจีน ฐานใหญ่แรงขับเคลื่อนสำคัญ
 

ในปี 2024 ขนาดตลาดชาแบบใหม่ในจีนอยู่ที่ กว่า 350,000 ล้านหยวน หรือราว 48,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตแตะ 375,000 ล้านหยวนในปี 2025 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนจาก อุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ สุขภาพ, ไลฟ์สไตล์, และประสบการณ์ผู้บริโภค ของคนรุ่นใหม่
 
ตลาดจีนไม่ได้โตเพียงเชิงปริมาณ แต่ยังเป็น แล็บทดลองนวัตกรรม ทั้งรสชาติ เมนูเฉพาะกลุ่ม รูปแบบร้านค้า และระบบดิจิทัล ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้แบรนด์จีนสามารถ ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
 
แบรนด์จีนขยายตลาดต่างประเทศ
 
ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2010 แบรนด์ชาจีนเริ่มรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีสาขาหลายแสนแห่งทั่วโลก ตัวอย่างเช่น Heytea, Naixue’s Tea และ CHAGEE โดยเฉพาะในอาเซียนที่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย

อาเซียน ตลาดโตเร็ว แต่ยังไม่อิ่มตัว
 

ตลาดชาแบบใหม่และชานมไข่มุกในอาเซียนมีมูลค่ารวมราว 3,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอินโดนีเซียครองตำแหน่งตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคด้วยมูลค่ามากกว่า 1,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 58,800 ล้านบาท คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดทั้งหมดในอาเซียน ส่วนประเทศไทยตามมาเป็นอันดับสองด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 26,000 ล้านบาท
 
นอกจากตัวเลขมูลค่าตลาดแล้ว ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ด้วย โดยพฤติกรรมผู้บริโภคในไทยน่าสนใจเป็นพิเศษ ด้วยความถี่ในการดื่มเฉลี่ยกว่า 6 แก้วต่อเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเกือบเท่าตัว ทำให้อาเซียนกลายเป็นสนามทดลองเชิงกลยุทธ์สำหรับแบรนด์ชาจีนก่อนขยายสู่ตลาดโลก
 
AI และนวัตกรรม อาวุธลับของการแข่งขัน
 

ตลาดชาแบบใหม่ในปัจจุบันไม่ได้แข่งขันเพียงเรื่องรสชาติ หรือ ราคาอีกต่อไป แต่เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI กลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
 
แบรนด์ชั้นนำหลายรายได้เริ่มนำ AI มาใช้ในหลายด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแม่นยำ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคเชิงลึก เพื่อดูพฤติกรรมและรสนิยมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม, การคาดการณ์อุปสงค์และบริหารสต็อก เพื่อลดของเหลือและเพิ่มความแม่นยำในการจัดส่ง, การพัฒนาเมนูเฉพาะกลุ่มแบบรวดเร็ว ตามแนวโน้มและโอกาสทางการตลาด รวมถึงการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล เช่น แนะนำโปรโมชั่นและเมนูที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค
 
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Heytea ที่ใช้ข้อมูลจากผู้บริโภคหลายล้านรายในการปรับสูตรชาสดและเปิดตัวเมนูใหม่อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์คือระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สั้นลง และอัตราความสำเร็จในการเปิดตัวเมนูใหม่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
 
AI ยังช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละรายผ่านการสื่อสารดิจิทัล รวมถึงการปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นแบบเรียลไทม์ที่สามารถทำได้เร็ว และการเชื่อมโยงกับโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้เพียงดื่มชา แต่ได้รับประสบการณ์แบบครบวงจร

ผู้เล่นหลักและกลยุทธ์การแข่งขัน เกมของรายใหญ่
 
โครงสร้างตลาดชาแบบใหม่ในปัจจุบันสะท้อนชัดว่า การแข่งขันกำลังกระจุกตัวอยู่กับผู้เล่นรายใหญ่และแบรนด์ที่ปรับตัวได้เร็ว โดยเฉพาะแบรนด์จีนซึ่งมีความได้เปรียบทั้งด้านขนาดตลาดภายในประเทศ เงินทุน และความพร้อมด้านเทคโนโลยี

ผู้เล่นหลักในสมรภูมิชายุคใหม่
 

กลุ่มแบรนด์ชารูปแบบใหม่ของจีนที่มีบทบาทในตลาดโลก ได้แก่ Heytea, Nayuki, Cha Yan Yue Se, Yi Dian Dian, Gong Cha, Xing Fu Tang, Mixue, Happy Lemon, WEDRINK, BingChun, SHUYI, CHAPANDA, Taning, CHAGEE, CHA i ENJOY, Naixue, Molly Tea ฯลฯ
 
ส่วนแบรนด์ชานมสัญชาติไต้หวัน 9 แบรนด์ ได้แก่ CoCo, TP TEA, Dakasi, KOI Thé, Yi Fang, Machi Machi, The Alley, XING FU TANG, CHICHA San Chen ฯลฯ
 
ขณะเดียวกัน ยังมีแบรนด์ท้องถิ่นในแต่ละประเทศอาเซียนก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยอาศัยความเข้าใจผู้บริโภคในพื้นที่และความคล่องตัวในการออกเมนูเฉพาะตลาด ยกตัวอย่างแบรนด์ชานมสัญชาติไทย
 
ได้แก่ NOBI CHA, OWL CHA, Ochaya, Pearly Tea, ชาตรามือ, Fresh Me, KAMU KAMU, Mr.Shake, Fuku Matcha, Brown Café, Tawang, CHA BAR BKK, BEARHOUSE, GAGA, Karun, Chongdee Teahouse, Nose Tea, Khiri Thai Tea, Fire Tiger, Peace Oriental Teahouse, JIAN CHA ฯลฯ
 
กลยุทธ์ที่มากกว่าการขายเครื่องดื่ม
 

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง กลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่มีลักษณะที่โดดเด่นอย่างชัดเจน
 
1.แตกไลน์สินค้าไปสู่ชาเพื่อสุขภาพและชาฟังก์ชัน
 
ชาแบบน้ำตาลต่ำ ชาสมุนไพร ชาผลไม้สด และเครื่องดื่มที่สื่อสารประโยชน์ด้านสุขภาพ กลายเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรที่สูงกว่าเมนูดั้งเดิม
 
2.พัฒนาโมเดลแฟรนไชส์ควบคู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม
 

แบรนด์ชั้นนำไม่ได้ขยายสาขาเพียงอย่างเดียว แต่ลงทุนในแอปพลิเคชัน ระบบสมาชิก และแพลตฟอร์มเดลิเวอรี เพื่อเชื่อมต่อออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (O2O) ทำให้สามารถเก็บข้อมูลผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขายซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
3.ลงทุนใน R&D และ AI อย่างต่อเนื่อง
 
การวิจัยและพัฒนาสูตรใหม่ การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และการคาดการณ์อุปสงค์รายสาขา กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และลดความเสี่ยงจากการเปิดตัวสินค้าใหม่
 
4.สร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
 
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก การลดการใช้พลาสติก และการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แบรนด์ เพื่อสอดรับกับค่านิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่และแรงกดดันด้าน ESG จากนักลงทุน
 
ตัวเลขสะท้อนความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
 

ข้อมูลจากอุตสาหกรรมระบุว่า แบรนด์ที่นำ AI และระบบดิจิทัล มาใช้ในกระบวนการหลักของธุรกิจ สามารถสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20–30% ต่อปี ในช่วงหลังปี 2024 ขณะที่แบรนด์ที่ยังพึ่งพาโมเดลดั้งเดิมมีการเติบโตเพียง 5–10% ต่อปี
 
ช่องว่างดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สมรภูมิชาแบบใหม่กำลังเข้าสู่ยุคที่ “ขนาดและเทคโนโลยี” มีบทบาทชี้ขาด ผู้เล่นรายใหญ่มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กจำเป็นต้องเลือกทางรอดด้วยการสร้างความแตกต่างเฉพาะกลุ่ม หรือจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง
 
แนวโน้ม 2026–2033 สมรภูมิชาแบบใหม่ยังไม่จบ
 
แม้ตลาดชาจีนแบบใหม่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมในระยะกลางถึงระยะยาวสะท้อนให้เห็นชัดว่า การแข่งขันยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ตรงกันข้ามช่วงปี 2026–2033 ถูกมองว่าเป็นระยะการคัดกรองผู้เล่น ซึ่งจะตัดสินว่าแบรนด์ใดสามารถยืนระยะในตลาดโลกได้อย่างแท้จริง
 
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ตลาดชาแบบใหม่จะขยายตัวด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8–9% ต่อปี โดยแรงขับเคลื่อนหลักไม่ได้มาจากการเปิดสาขาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการยกระดับโมเดลธุรกิจทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
 
AI กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจ
 

ในช่วงหลังปี 2026 การใช้ AI จะไม่ใช่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของอุตสาหกรรม แบรนด์ชั้นนำจะใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ คาดการณ์อุปสงค์รายสาขา บริหารซัพพลายเชน และออกแบบเมนูเฉพาะบุคคลในวงกว้าง
 
ขณะที่แบรนด์ขนาดกลางและเล็ก
 
หากไม่สามารถลงทุนในระบบข้อมูลและเทคโนโลยีได้เพียงพอ มีแนวโน้มถูกบีบด้วยต้นทุนและความเร็วในการแข่งขัน ส่งผลให้ตลาดเข้าสู่การควบรวมกิจการหรือหายไปของผู้เล่นบางส่วน
 
เมืองรองและตลาดเกิดใหม่ ฐานเติบโตระลอกใหม่
 
หลังจากตลาดเมืองใหญ่ในจีนเริ่มอิ่มตัว การขยายตัวของชารูปแบบใหม่ในช่วงปี 2026–2033 จะขับเคลื่อนโดยเมืองระดับ 3–4 และตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง
 
อย่างประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และอินเดีย ถูกมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากโครงสร้างประชากรวัยหนุ่มสาว กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และการเปิดรับแบรนด์ต่างชาติ ในขณะเดียวกัน ตลาดพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาเหนือและยุโรปจะเน้นกลุ่มพรีเมียมและชาเพื่อสุขภาพเป็นหลัก
 
Premium และ Functional Tea จากทางเลือกสู่กระแสหลัก
 

ผู้บริโภคในอนาคตจะให้ความสำคัญกับคุณภาพ ประโยชน์ต่อสุขภาพ และที่มาของวัตถุดิบมากขึ้น ชาพรีเมียม ชาสมุนไพรฟังก์ชัน ชาที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาล เสริมภูมิคุ้มกัน หรือช่วยผ่อนคลาย จะกลายเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างมาร์จิ้นสูง
 
แบรนด์ที่สามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กับงานวิจัย โภชนาการ และเรื่องราวของแหล่งผลิต จะมีความได้เปรียบในการสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีของลูกค้าในระยะยาว
 
ความยั่งยืน ปัจจัยตัดสินแบรนด์ในสายตาผู้บริโภค
 
ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนจะไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่กลายเป็น ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่ลดพลาสติก การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม และการลดคาร์บอนในซัพพลายเชน แบรนด์ที่ปรับตัวช้าในด้านนี้มีความเสี่ยงต่อแรงกดดันจากทั้งตลาดและกฎระเบียบในหลายประเทศ
 
บทสรุป
 
โดยสรุป “ชาแบบใหม่” ได้พัฒนาไปไกลกว่าการเป็นเครื่องดื่มเพื่อการบริโภคทั่วไป และกลายเป็นอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ที่ผสมผสานข้อมูล เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเข้าไว้ด้วยกัน
 
ผู้ชนะในสมรภูมินี้ไม่ใช่แบรนด์ที่ขยายสาขาได้เร็วที่สุดหรือขายได้ถูกที่สุด แต่คือผู้ที่เข้าใจข้อมูลผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง, มีการใช้ AI และดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงมีการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและสอดคล้องกับสุขภาพและความยั่งยืน
 
ในช่วงปี 2026–2033 ตลาดชาแบบใหม่จะไม่ใช่เพียงแค่การเติบโตในเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่จะกำหนด “ผู้เล่นตัวจริง” ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มยุคใหม่ในเวทีโลกอย่างแท้จริง
 
แหล่งข้อมูล
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
634
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
576
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
532
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
456
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
449
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
446
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด