บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
296
2 นาที
5 สิงหาคม 2568
เปิดสูตร “Share of Voice” ธุรกิจเราดังแค่ไหนในโลกออนไลน์
 

ธุรกิจในยุคนี้ต้องเชื่อมโยงกับตลาดออนไลน์เพราะเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากแบรนด์ไหนครองใจลูกค้าในโซเชี่ยลได้ มีโอกาสจะเพิ่มยอดขายได้มหาศาล เราจึงได้เห็นหลายแบรนด์พยายามแชย่งชิงพื้นที่ในตลาดโซเชี่ยลกันอย่างดุเดือด โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจที่คนทำธุรกิจต้องทราบคือ
  • มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยประมาณ 59 ล้านคน 
  • 85% ของประชากร ใช้งานมากเฉลี่ย 3.4 ชั่วโมงต่อวัน และ 97% เข้าผ่านมือถือ
  • แยกเป็นประเภทพบว่า ผู้ใช้งาน Facebook: 50.5 ล้านคน, LINE: 47 ล้าน, YouTube: 45.6 ล้าน, TikTok: 32.5 ล้าน
  • 38% ของการซื้อออนไลน์ มีจุดเริ่มต้นจากการเข้าชมโซเชียลมีเดีย
  • แบรนด์ไทยกว่า 43% ใช้ AI สำหรับการสร้าง content และ chatbot ต่างๆ
อย่างไรก็ดีเกิดคำถามน่าสนใจว่าแบบนี้เราจะรู้ได้ไง ว่าแบรนด์ของเรานั้นดังแค่ไหนในโลกออนไลน์ หรือหลายธุรกิจก็อยากรู้ว่าตอนนี้แบรนด์ได้รับความนิยมมากแค่ไหน ซึ่งเราสามารถใช้ Share of Voice (SOV) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ดูว่า แบรนด์ของเรามีคนพูดถึงบนโลกออนไลน์เยอะแค่ไหน ถ้าเทียบกับคู่แข่งในตลาด
 
 
มีสูตรคำนวณง่าย ๆ คือ (ปริมาณการพูดถึงแบรนด์ของเรา / ปริมาณการพูดถึงของทั้งตลาด) x 100

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดแฟรนไชส์ชานมไข่มุก และมีคนพูดถึงแบรนด์เรา 500 ครั้ง ในขณะที่พูดถึงแฟรนไชส์ชานมไข่มุกอื่นๆ รวมกัน 2,500 ครั้ง หมายความว่า เรามี Share of Voice (SOV) = 500 / 2,500) x 100 = 20% 
 
อย่างไรก็ดีการจะรู้ว่าใครพูดถึงแบรนด์เราบ้างนั้นจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่เรียกว่า Social Listening Tools เช่น Mandala Analytics , BuzzSumo , Google Alerts เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้จะใช้ในการเก็บข้อมูลตามแต่จุดเด่นของแพลตฟอร์ม โดยเมื่อได้ตัวเลขที่คนพูดถึงแบรนด์ในแต่ละช่วงเวลาก็นำมาใช้คำนวณ Share of Voice ได้
 
 
ข้อดีของการทราบ Share of Voice ไม่ใช่แค่ดูว่าแบรนด์เรา "ดัง" แค่ไหน แต่ยังเอาไปพัฒนา กลยุทธ์การตลาดและธุรกิจ ได้อีกมาก 
  1. วัดความสามารถในการแข่งขัน ดูว่าแบรนด์ของเรามีเสียงในตลาด มาก/น้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งช่วยรู้ว่าใคร "เป็นเจ้าตลาด" จริง ๆ
  2. ปรับกลยุทธ์การตลาดแบบแม่นยำ ถ้า SOV ต่ำ แปลว่าเสียงเราอาจยังไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือถ้า SOV สูงแต่ยอดขายต่ำต้องปรับ “คุณภาพสินค้า” หรือ “กลยุทธ์การขาย”
  3. วัดผลแคมเปญ จากการทำโฆษณา, จ้าง influencer, จัด event ซึ่งตัวเลขของ SOV ช่วยวัดได้ว่า แคมเปญนั้นสร้างกระแสได้จริงไหม
  4. เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้รู้ว่าลูกค้าพูดถึงอะไร, ช่องทางไหน, ด้วยอารมณ์แบบไหน (บวก/ลบ) เอาข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาธุรกิจให้ดีตรงกับความต้องการลูกค้าได้
  5. ปรับปรุงสินค้าและบริการ ถ้าลูกค้ามีความรู้สึกเชิงลบแบรนด์จะได้นำข้อมูล เอามาวิเคราะห์แล้วพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้น หรือถ้าเป็นเสียงตอบรับที่ดีอยู่แล้ว ก็จะได้พัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ซึ่งตัวเลขของ Share of Voice (SOV) ที่ดีควรจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่า “Share of Market” (SOM) ของแบรนด์ มีงานวิจัยพบว่า สำหรับธุรกิจ B2C ถ้าแบรนด์ไหนมีค่า SOV สูงกว่า SOM ในทุก ๆ 10% จะมีโอกาสได้ SOM เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.6%
 
 
การใช้ Share of Voice (SOV) ถือเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจต้องให้ความสนใจ มีหลายแบรนด์ที่นำเครื่องมือนี้มาใช้และก็เป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าของตัวเองสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น
  • Café Amazon เคยใช้ Share of Voice (SOV) ดูว่าเสียงของแบรนด์แข่งกับ Starbucks หรือ Inthanin ได้แค่ไหน โดยเฉพาะในตอนที่ปล่อยเมนูใหม่ๆ ออกสู่ตลาด
  • Burger King เคยใช้ Share of Voice (SOV) เปรียบเทียบกับ McDonald’s ช่วงเปิดตัวเมนูใหม่ ที่ได้มีการทำแคมเปญผลปรากฏว่าในช่วงนั้นมีคนพูดถึง Burger King เพิ่มขึ้นกว่า 60%
  • L'Oréal ใช้ Share of Voice (SOV)ในการติดตามความนิยมของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม skincare วัดเทียบกับคู่แข่งอย่าง Estée Lauder หรือ Maybelline พร้อมดูข้อมูลว่าแบรนด์ถูกพูดถึงในเชิงบวกแค่ไหน
  • Lazada & Shopee ใช้ Share of Voice (SOV) วัดผลในช่วงแคมเปญลดราคา 9.9 / 11.11 / 12.12 เพื่อดูว่าลูกค้าพูดถึงใครมากกว่ากัน ใครได้รับความนิยมมากกว่า เพื่อมากำหนดกลยุทธ์การตลาดในครั้งต่อไป

Share of Voice (SOV) จึงเป็นเครื่องมือชี้วัดที่เห็นผลได้ชัดเจนและตัวเลขเหล่านั้นสามารถนำมาพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งๆขึ้นได้ ก็ต้องเป็นการใช้ควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดอีกหลายด้าน รวมถึงการควบคุมเรื่องคุณภาพ + บริการ ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การทำธุรกิจแบบเดิมไม่เพียงพอต่อความอยู่รอด ธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้จักการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสานบวกกับประสบการณ์ที่แต่ละแบรนด์มี คือโอกาสก้าวสู่ความสำเร็จได้มากขึ้น
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
425
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด