บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.5K
3 นาที
14 พฤศจิกายน 2562
ดร.โสภณ แนะ 10 ข้อ กระตุ้นเศรษฐกิจ
 
ถ้ารัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง มีทางออกหลายทางที่ทำได้ผลเมื่อทำทันที อยู่ที่ว่ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดีจริงหรือไม่
 
1. การให้สัมปทานรถไฟฟ้าใจกลางเมือง


ภาพจาก bit.ly/2NMqANl

ทั้งนี้รัฐบาลไม่ต้องออกเงินก่อสร้างเอง จะทำให้เกิดรายได้สูง เพราะเป็นเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ทางการเงิน มีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าการก่อสร้างออกไปนอกเมือง ทั้งนี้สามารถดำเนินการได้หลายพื้นที่ในใจกลางเมือง คล้ายการให้สัมปทานรถประจำทาง เป็นต้น  การทำรถไฟฟ้าในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป จะทำให้มีเอกชนสามารถเข้าร่วมประมูลได้มากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันเสรี โดยไม่ต้องถูกผูกขาดโดยรายใหญ่ และรัฐบาลแทบไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินใด ๆ เพียงแต่ควบคุมและตรวจสอบการจัดทำสัญญาที่ไม่เสียเปรียบภาคเอกชน อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลทำก็คือทำไม่กี่สาย ทำในเส้นทางที่ไม่เหมาะสม ค่าโดยสารแพง และทำให้เกิดการผูกขาดโดยบริษัทบางแห่ง ซึ่งทำให้มาตรการนี้ไม่ได้ผล
 
2. การอนุญาตให้ก่อสร้างอย่างหนาแน่นสูง (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowdedness)


ภาพจาก bit.ly/2Ki8DEg

โดยกำหนดผังเมืองใหม่โดยให้การก่อสร้างในเขตใจกลางเมือง สามารถสร้างสูงได้ถึงประมาณ 15-20 เท่าของขนาดแปลงที่ดิน (Floor Area Ratio: FAR) โดยให้เว้นพื้นที่โดยรอบให้เป็นพื้นที่สีเขียว ส่งเสริมการก่อสร้างอาคารอัจฉริยะ อาคารเขียว เพื่อไม่ก่อมลภาวะ  การอนุญาตให้สร้างได้มากกว่าผังเมืองปัจจุบัน จะทำให้เกิดการก่อสร้างในใจกลางเมืองอีกมหาศาล (http://goo.gl/aBukys) โดยสมมติให้พื้นที่พาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 2 ล้านตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ๆ ขายได้ประมาณ 70% หรือ 1.4 ล้านตารางเมตร และสมมติให้ตารางเมตรละ 60,000 บาท ก็เป็นเงิน 84,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นหากส่วนที่เพิ่มจากกฎหมายเดิม เก็บภาษี 10% ก็จะได้ภาษีนำมาพัฒนาท้องถิ่นเพิ่มเติมอีก 8,400 ล้านบาท

การอยู่อาศัยในใจกลางเมือง ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขยายไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ระบบคมนาคมและขนส่งมวลชนออกไปชานเมืองอย่างไม่สิ้นสุดได้อีก เท่ากับประหยัดงบประมาณแผ่นดินไว้พัฒนาทางด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป ยิ่งกว่านั้นเมืองก็ไม่ขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต คุณภาพชีวิตของประชาชนก็จะดีขึ้น แทนที่จะเสียเงิน เสียเวลาเดินทางไกลบนท้องถนน และเป็นการลดมลภาวะอีกด้วย
 
3. การนำที่ดินของรัฐใจกลางเมืองมาพัฒนาเชิงพาณิชย์


ภาพจาก bit.ly/351MPod

ไม่ใช่เอามาสร้าง "บ้านคนจน" ที่ดินของรัฐใจกลางเมืองสามารถนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้ได้อย่างยั่งยืน เช่น นำมาใช้ก่อสร้างเป็นศูนย์ธุรกิจใจกลางเมือง (Central Business District: CBD) แห่งใหม่ซ้อนอยู่ใน CBD เดิม โดยให้มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่รวมกันในที่เดียว ทำให้เกิดพลังเกื้อหนุนกัน คล้ายบริเวณสีลม-สุรวงศ์-สาทร ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพ ไม่เสียเวลาเดินทาง ราคาค่าเช่าก็จะไม่ตกต่ำเช่นอาคารที่ตั้งอยู่โดด ๆ เช่น
  • ที่ดินกรมทหาร เขตดุสิต ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางหลายพันไร่
  • พื้นที่กรมทหาร ถ.โยธี พญาไท ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่านเช่นกัน
  • สนามม้าในกรุงเทพมหานคร
  • โรงซ่อมรถไฟ บึงมักกะสัน ซึ่งมีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่านเช่นกัน
  • โรงงานยาสูบเดิม ถ.พระรามที่ 4 ซึ่งมีรถไฟฟ้าและทางด่วนผ่านบริเวณใกล้เคียง
  • ที่ดินคลังน้ำมัน ถ.พระราม 3 ติดแม่น้ำเจ้าพระยา
  • ที่ดินการรถไฟฯ ถ.เชื้อเพลิง ติดแม่น้ำเจ้าพระยา
  • ท่าเรือคลองเตยและที่ดินการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ตลาดคลองเตยและโดยรอบ เป็นต้น
ที่ดินเหล่านี้หากสามารถนำมาพัฒนาได้จริง ย่อมทำให้เกิดมูลค่าการพัฒนาไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท หรือมากกว่างบประมาณแผ่นดินไทย ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ทำการย้ายส่วนราชการออกนอกเมืองเป็นจำนวนมากทั้งในกรุงมะนิลาและนครโฮชิมินห์ซิตี้ เป็นต้น
 
4. การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ในประเทศตะวันตก จัดเก็บประมาณ 1-2% ของมูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาด แต่ในกรณีประเทศไทย อาจเริ่มต้นที่ 0.5% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท จะได้ไม่เกิดความลักลั่น ยกเว้นที่ดินเปล่า ซึ่งควรเร่งรัดให้พัฒนาเพื่อเพิ่มอุปทานที่ดิน ราคาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์จึงจะไม่แพงจนเกินไป โดยควรให้จัดเก็บประมาณ 1-2% ทั้งนี้ควรให้ท้องถิ่นเป็นผู้ประเมินภาษีกันเอง และจำกัดวงเงินการพัฒนาสาธารณูปโภคท้องถิ่นตามภาษีที่จัดเก็บได้ เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดเก็บได้มากขึ้น และควรกำหนดให้ยกเลิกภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ภาษีค่าโอนที่สูงถึงประมาณ 3% ของราคาขาย เป็นต้น
 
อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลทำก็คือ การเก็บภาษีที่ไม่สอดคล้องกับหลักสากล ให้เสียภาษีเฉพาะบ้านที่มีราคาเกิน 50 ล้านบาท ภาษีที่จะเก็บได้ในอนาคต อาจน้อยกว่าเดิมและทำให้นายทุนกลับเสียภาษีน้อยลงกว่าแต่ก่อน รัฐบาลควรจัดเก็บภาษีที่ 0.1% ของราคาทรัพย์สินโดยทั่วหน้ากัน
 
5. การจัดเก็บภาษีมรดก


ภาพจาก bit.ly/2O9QXf9

ในปัจจุบันจัดเก็บภาษีมรดกเฉพาะทรัพย์สินที่มีราคาเกิน 100 ล้านบาท และค่อยๆ ทยอยโอนให้ลูกหลานในอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์อย่างละไม่เกิน 20 ล้านบาทในแต่ละปีได้ ทำให้มาตรการนี้ไม่ได้นำมาใช้จริง นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนอีกมากมาย รัฐบาลจึงควรกำหนดให้เก็บภาษีมรดกโดยไม่มีข้อยกเว้น และให้เก็บที่อัตรา 10% ของกองมรดกในทุกระดับราคา จะทำให้มีเงินมาพัฒนาประเทศอีกมาก ผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นผู้รักชาติ ก็ควรเสียภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ
 
6. การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและคาสิโนในบริเวณริมชายแดน โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งพักพิงของแรงงานเพื่อแรงงานจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครหรือในพื้นที่ที่ลึกเข้ามาจากชายแดน โดยให้วิสาหกิจเสียค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณูปโภคเป็นหลัก และในพื้นที่กันดารในชนบท ก็อาจพิจารณาสร้างเมืองใหม่โดยมีคาสิโนเป็นตัวนำ เช่นที่ดำเนินการในสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยจะเห็นได้ว่าในประเทศที่มีคาสิโน ก็ไม่ได้มีสถิติของการเกิดอาชญากรรมมากกว่าประเทศที่ไม่มีคาสิโนแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังสามารถจัดเก็บภาษีจากการประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องติดสินบนอันเป็นบ่อเกิดการทุจริตในวงราชการอีกด้วย
 
อย่างไรก็ตามรัฐบาลกลับมุ่งแต่จะพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี จนขณะนี้พับการพัฒนาริมชายแดนไปแล้ว ในขณะเดียวกันเขตอีอีซีกลับกลายเป็นการขายชาติไปในที่สุด (https://bit.ly/2UWql3m)

7. การมี "หวยบนดิน" ทำให้มีรายได้เพิ่ม


ภาพจาก bit.ly/2plaLno

เช่น ปีงบประมาณ 2547 มีรายได้รวม 76,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน 108% ปี 2548 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 82,718 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2549 มีรายได้รวม 92,764 ล้านบาท" (https://goo.gl/VRNDSc) ยิ่งกว่านั้นหวยบนดินยังทำให้ประชากรมีงานทำ "แน่นอนว่า การยกเลิกหวยบนดินให้หมดไปเลยทีเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะทำให้คนขายหวยบนดินและคนเดินโพยกว่า 4 แสนคนต้องตกงานและขาดรายได้ อีกทั้งยังทำให้หวยใต้ดินกลับมาแพร่หลายอีกด้วย!!" (https://goo.gl/RG8jdp) จะเห็นได้ว่าการมีคนทำงานเพิ่มขึ้นถึง 4 แสนคนนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าการแจกเงินของรัฐบาลที่ทำอยู่ทุกวันนี้ (https://goo.gl/8nWcxE)
 
8. การลดดอกเบี้ยเงินกู้แค่ 1%

ทำให้อัตราเงินผ่อนต่อปีลดลงถึงเกือบ 9% ต่อปี การผ่อนเบาภาระแก่ประชาชนนี้ จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ยิ่งถ้าลดได้ 2% ก็จะทำให้อัตราเงินผ่อนลดลงถึง 18% เลยทีเดียว การลดดอกเบี้ยเงินกู้นี้ จะทำให้สถาบันการเงินได้ลูกค้าและค่าธรรมเนียมมากขึ้นจากการข้อกู้มากขึ้น เลือกลูกค้าได้มากขึ้น ระบบสถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น การเอาใจประชาชนเช่นนี้ จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในรัฐบาลมากขึ้น ประชาชนและเศรษฐกิจชาติจะได้รับการกระตุ้นจริง (https://bit.ly/2dm96oL)

9. ลดราคาน้ำมันลง


ภาพจาก bit.ly/3759cuE

จากโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบัน 8 พฤศจิกายน 2562 (https://bit.ly/2NQb9m2) หากรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สามารถที่จะลดราคาลงมา 5 บาท โดยลดลงจากราคาขายตามปกติ  หากสามารถลดราคาลงได้เป็นเวลา 1 ปี ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มหาศาลในระยะเวลาอันสั้น
 
10. หยุดแจกเงิน

เพราะเงินที่แจกก็คือภาษีของทุกคนนั่นเอง การแจกเงิน 300 บาทต่อเดือนนั้น หากถือเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แสดงว่าคนๆ หนึ่งมีรายได้ประมาณ 4,286 บาท สำหรับประชาชนทั่วไปที่บริโภคสินค้าเป็นรายสุดท้าย แต่ละคนคงเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมากว่า 300 บาทต่อคนอยู่แล้ว การแจกนี้จึงเป็นการนำเงินของประชาชนมาจ่ายเท่านั้น ที่สำคัญยังไม่สามารถใช้เงินนี้ไปซื้อสินค้าและบริการจากประชาชนกันเองได้ด้วย นับเป็นความอัปยศเป็นอย่างยิ่ง
 
มาตรการเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้นนั่นเอง

ที่มา : https://bit.ly/2K4ojuG
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
423
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด