บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.7K
3 นาที
21 ตุลาคม 2562
น่ากังวล! เมื่อคนยุคใหม่กว่า 75% ออกจากงานด้วยเหตุผลด้านสุขภาพจิต


จากกรณีศึกษาล่าสุดโดย Mind Share Partners, Qualtrics และ SAP พบว่า ครึ่งหนึ่งของหนึ่งพันล้านคน และกว่าอีก 75% ของบุคคลที่เป็น Gen Zers (Gen Z คือ คำนิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลังจากปี ค.ศ. 1995 หรือปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา) ออกจากงานด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพจิตซะส่วนใหญ่ นอกจากนี้สมาคมจิตวิทยาของอเมริกันก็พบว่า ร้อยละของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 47% จากในปี 2008 - 2017


ภาพจาก pixabay.com
 
โดยบริษัทอย่าง Cisco ก็ได้อ้างว่า พนักงานกว่า 7% ของสหรัฐอเมริกากำลังเข้าถึงรูปแบบของการรักษาสุขภาพจิตและการรณรงค์ต่อต้านการใช้สารเสพติด โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จากกรณีของปัญหาสุขภาพจิตดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาในอัตราที่น่าตกใจในหมู่คนนับพันและคนรุ่น Gen Zers ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสถานที่ที่ทำงานในปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาและแนวโน้มในอัตราที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น พนักงานที่มีอยู่โดยจำกัด หรือแม้กระทั่งทรัพยากร และเวลาการทำงานที่ยาวนาน เป็นต้น 


ภาพจาก bit.ly/35LEjLj
 
โดยจากการศึกษาได้มีผู้ที่ตอบแบบสอบถามในสหรัฐอเมริกากว่า 1,500 คน โดยคนที่มีอายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปที่ทำงานเต็มเวลาอย่างไม่มีเวลาพักผ่อน และจากการศึกษาล่าสุดอีกครั้งโดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกันได้พบว่า ร้อยละของผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่มีปัญหาสุขภาพจิตบางประเภทก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วงในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปอร์เซ็นของผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในอัตราที่เพิ่มขึ้นกว่า 47%  จากในปี 2008 – 2017
 
โดยจากการศึกษาของ Mind Share Partners, SAP และ Qualtrics ก็ยังแสดงให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ประสบกับปัญหาของสุขภาพจิตเรื้อรังมากขึ้น โดยคนที่มีอายุน้อยกว่าจะสามารถจัดการกับความเจ็บป่วยทางจิตได้ในอัตราที่เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าของประชากรทั่วไป โดยการค้นพบครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า มีอัตราของผู้ที่ป่วยในด้านของสุขภาพจิต มีอายุ 18 – 25 ปี กว่า 71% และ 20 – 21 ปี กว่า 78% ที่มีปัญหา และจากการรายงานจากศูนย์สุขภาพจิตของมหาวิทยาลัยที่ Penn State University พบว่า จำนวนนักเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยของตนเองและมหาวิทยาลัยต่างๆที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 5 เท่า ในปี 2011 - 2016
 
เบื้องหลังของปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น


Jean Twenge
ภาพจาก bit.ly/2MV7frw
 
โดย Jean Twenge ผู้เขียน iGen ที่เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอฟเฟคก็ได้กล่าวว่า “จากการเพิ่มขึ้นของสมาร์ทโฟนและสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างน้อยเราก็คิดว่า สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนป่วยในด้านของสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น” โดยเขาก็ได้กล่าวเสริมอีกว่า “วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วมักใช้เวลาในการเผชิญหน้ากับผู้อื่นน้อยลง แต่กลับใช้เวลาบนหน้าจอมือถือมากขึ้นแทน ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนกันตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2556” เธอกล่าว อีกทั้งเธอยังสังเกตเห็นว่า ในเวลานั้นปัญหาของสุขภาพจิตก็เริ่มที่จะพุ่งสูงขึ้นมาตามลำดับดังที่คาดการณ์เอาไว้ “การอ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิตของคุณ ในฐานะของการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐาน ซึ่งมันเล็กน้อยมากเมื่อคุณใช้เวลาไปกับมัน” อีกทั้งเธอก็ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ทำให้เวลานอนของคนส่วนใหญ่นั้นลดน้อยลง ซึ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สุขภาพจิตของคุณนั้นดีขึ้นมาแต่อย่างใด”


Peter Gray
ภาพจาก bit.ly/31yb0IT
 
แต่ Peter Gray ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยบอสตันกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป เขากล่าวว่า “ไม่ใช่สื่อสังคมออนไลน์หรอกที่ทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความรู้สึกกังวล แต่สิ่งที่พวกเขากังวลนั้นคือ โรงเรียนของพวกเขาเองต่างหาก” โดยเขาก็ได้ติดตามความก้าวหน้าจากช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 ซึ่งสังคมก็ได้นำสถานที่เหล่านี้ไปใช้ในการควบคุมเด็กๆทีละเล็กทีละน้อย (โดยคนเหล่านี้จะเชื่อว่า ความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นเกิดขึ้นมาจากความพยายามของตัวพวกเขาเอง) เป็นผลให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากในวันนี้จะหายไป โดย Gray ก็ได้สนับสนุนให้มีการปรับปรุงระบบทางการศึกษาเพื่อที่จะให้พวกเขาเหล่านี้ได้ปลูกฝังจุดสนใจของพวกเขามากยิ่งเขา เขาได้สนับสนุนในมูลนิธิของ Let Grow Kids และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อให้คำแนะนำและดูอาชีพที่พวกเขาอาจจะสนใจในอนาคต
 
แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องใดก็ตาม แต่ผลตามสถิติก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่างๆที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิตนั้นเรื้อรังมากกว่าหลายพันปีมาแล้ว เช่น การเพิ่มขึ้นของสภาวะการเป็นโรคซึมเศร้า หรือ การเสียชีวิตจากความสิ้นหวัง (การใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์แก้เครียด จนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย) และค่าครองชีพที่ไม่แน่นอน โดยร้อยละ 86 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามใน Mind Share Partners, SAP และการศึกษา Qualtrics ก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า วัฒนธรรมของบริษัทควรที่จะสนับสนุนในด้านของปัญหาของสุขภาพจิต โดยปัญหาเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นแนวหน้าของความหลากหลาย ซึ่งพนักงานต่างก็ต้องการให้บริษัทหลายๆบริษัทจัดการกับปัญหาเหล่านี้บ้าง
 
Cisco กำลังจะเผชิญหน้ากับปัญหาในเรื่องของสุขภาพจิตในที่ทำงาน


ภาพจาก bit.ly/33PfhsN
 
โดย 1 ใน 5 ของบุคคลที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคซึมเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ โดยรวมแล้วเกินกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และสำหรับนายจ้างหลายคนที่สูญเสียผู้ที่มากความสามารถไปเพราะ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต ซึ่งนั้นก็เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายราคาแพงของเขาเลยก็ว่าได้ โดย Fran Katsoudas ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Cisco เล่าว่า หลังจากการเสียชีวิตของ Anthony Bourdain และ Kate Spade เมื่อปีที่แล้ว Chuck Robbins ซีอีโอของบริษัท ก็ได้ส่งอีเมล์ไปทั่วทั้งบริษัท เพื่อแจ้งถึงปัญหาสุขภาพจิตและปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น


ภาพจาก bit.ly/2pB4X90
 
โดย Robbins ผู้ที่รับตำแหน่งซีอีโอในปี 2015 ก็ได้สนับสนุนให้พนักงานได้พูดคุยกับอย่างเปิดเผยและแสดงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน  “Cisco ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการผลักดันและเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับปัญหาของทางด้านสุขภาพจิต และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนในด้านของปัญหาทางสุขภาพกายด้วยเช่นเดียวกัน” โดยหนึ่งในขั้นตอนแรกของพวกเขานั้นคือ การรวมบริการสุขภาพจิตในการดูแลสุขภาพของบริษัท นอกจากนี้ Cisco ก็ได้เปิดตัวแฮชแท็กอย่าง #SafetoTalk ซึ่งจะเป็นชุมชนเสมือนแรกของพนักงานที่อยากจะระบายและผู้อื่น และเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่พวกเขาเจอมา “เราแต่คนละจะมีบทบาทในการทำให้แน่ใจว่า ความทุกข์เหล่านั้นน่ากลัวน้อยกว่าการขอแรงสนับสนุนในช่วงเวลาที่พวกเข้าองค์การมากที่สุด แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครหรอกที่อยากจะอยู่คนเดียว” Robbins กล่าวในหมายเหตุถึงพนักงานของ Cisco ที่เกี่ยวข้องกับ #SafetoTalk


Chuck Robbins
ภาพจาก bit.ly/2VX2HFe
 
โดยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ Cisco ก็ได้เฉลิมฉลองวันสุขภาพจิตโลกด้วยชุดกิจกรรมสัปดาห์และเหตุการณ์เสมือนจริงกับพนักงานของ Cisco และผู้เชี่ยวชาญในด้านปัญหาของสุขภาพจิต ถึงแม้ว่าจะยังเร็วเกินไปก็ตาม แต่ Cisco ก็อ้างว่า 7% ของจำนวนพนักงานในสหรัฐอเมริกากำลังเข้าถึงรูปแบบของการดูแลปัญหาทางด้านของสุขภาพจิตและการใช้สารเสพติด โดยโปรแกรมดังกล่าวมีไว้ให้สำหรับพนักงานราว 75,000 คน ของ Cisco และผู้จัดการอีกกว่า 11,000 คน “โดย Cisco มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านสุขภาพจิตและสุขภาพกาย” เขากล่าว
 
ซึ่งดูจากภาพรวมแล้ว คนในยุคนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยที่เสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่แต่ละคนได้เผชิญมา ดังนั้นแล้ว หากเราไม่ได้อยู่กับผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นหนักหนาแค่ไหน ทางที่ดีเราควรที่จะรับฟังเขา พาเขาออกไปสำหรับปัญหาเหล่านี้ หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ดี แค่นั้นเขาก็ดีใจแล้ว
 
คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 

 
อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php
 
ที่มา :
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
433
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
419
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด