สำหรับค่าแฟรนไชส์แรกเข้า 20,000 บาท เก็บครั้งเดียว ไม่มีค่ารายเดือน รายปี หรือค่าต่อสัญญา เงินจำนวนนี้เป็นค่า ฝึกอบรม สอนงาน
ส่วนการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ค่าป้ายไฟ เตา หม้อ จาน ชาม โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องจ่ายเอง
โดยบริษัทฯ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ รวมแล้วทั้งสิ้นต้องลงทุน 100,000 – 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านและจำนวนโต๊ะ
ทั้งนี้ รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากการขายวัตถุดิบสำเร็จรูป เพราะจากผลสำรวจลูกค้าไม่ได้ต้องการทำร้านอาหาร แต่อยากมีรายได้เสริม ดังนั้น จึงต้องมีความง่ายของการจัดการร้าน ซึ่งบริษัทฯ จะขายวัตถุดิบส่งให้ ไม่ว่าจะเป็น
- ข้าวหอมมะลิพร้อมใช้ กิโลกรัมละ 20 บาท
- หัวน้ำซุป ถุงละ 70 บาท
- ปาท๋องโก๋ กิโลกรัมละ 70 บาท
- หมูบด กิโลกรัมละ 120 บาท
ทั้งหมดได้ผ่านการปรุงรสเรียบร้อยแล้ว ต้มสุกพร้อมเสิร์ฟทันที ไม่ต้องเสียเวลาเคี่ยวโจ๊กหรือต้มน้ำซุป ดังนั้น รสชาติจึงไม่เพี้ยนไปจากเดิม
ในส่วนผลกำไรของร้านสาขาหรือแฟรนไชซี่ที่เปิดมาแล้วนั้น นายมานะ เปิดเผยว่า เฉลี่ยตั้งแต่ 30,000 ถึง 150,000 บาทต่อเดือน โดยสาขาที่ขายดีที่สุดมีรายได้เดือนละถึง 500,000 บาท ต่ำสุดก็ยังกำไรเดือนละ 30,000 บาท ทำให้แฟรนไชซี่สามารถคืนทุนภายใน 2-4 เดือน เท่าที่ผ่านมามีเพียง 2 รายเท่านั้น ต้องปิดตัวไป แต่เป็นด้วยปัญหาผู้ลงทุนไม่สนใจดูแลกิจการของตัวเอง
สำหรับแผนงานในอนาคตตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 100 สาขาภายในปีนี้ โดยขณะนี้มีศักยภาพการผลิตวัตถุดิบพร้อมรองรับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จะเน้นในการรักษาคุณภาพของแฟรนไชส์ และถี่ถ้วนต่อการรับแฟรนไชส์ใหม่ เพราะเวลานี้ คู่แข่งไม่มีใครนอกเสียจากตัวเอง
เงินลงทุนและเงินหมุนเวียน 100,800 - 165,500 บาท (รวมค่า Franchise)