บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
264
2 นาที
25 ธันวาคม 2568
“single arrow” วิธีที่ร้านเล็ก!สู้แบรนด์ใหญ่! ปี 2026
 

ปี 2568 บรรดา SMEs เจอวิกฤติกันหนักมาก ยิ่งใครที่สายป่านไม่ยาว มาเจอกับปัญหาเศรษฐกิจ การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และอีกหลายๆปัจจัยทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หนักสุดถึงขั้นต้องปิดกิจการ ถ้าดูตัวเลขยิ่งชัดเจน
  • 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค. 2568) มีการจดทะเบียนเลิกกิจการกว่า 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค. 2568) มีธุรกิจปิดกิจการสะสม 4,700 - 6,244 ราย โดยมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ลดลง 5%
โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีการปิดกิจการมากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568

ทำไม SMEs ถึงเจอวิกฤติหนักในปี 2568 
 

เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจรายใหญ่แม้เจอวิกฤติหนักก็ยังเดินหน้าต่อไปเพราะศักยภาพในหลายด้านที่ต่างกันสิ้นเชิงทั้งในเรื่อง เงินทุน , ข้อมูลลูกค้า , เทคโนโลยี และสำคัญสุดคืออำนาจการต่อรอง อธิบายเป็นข้อย่อยๆ ให้เข้าใจง่ายของปัญหาธุรกิจ SMEs ที่เจอในปี 2568 คือ
  • ได้ดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่แพงกว่า ประมาณ 7 – 12% ต่อปี
  • ไม่สามารถระดมทุนได้เหมือนธุรกิจขนาดใหญ่
  • ต้องใช้เงินทุนส่วนตัวหรือจากการกู้ยืมในการเริ่มธุรกิจเบื้องต้นประมาณ 1-3 ล้านบาท
  • เงินทุนสำรองน้อยกว่า 3 เดือน
  • ไม่สามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ใช้แค่โซเชี่ยลเป็นช่องทางการตลาด คาดเดาความต้องการลูกค้าได้ยาก
  • โอกาสขยายสาขาเพิ่มจาก 1 เป็น 2 ค่อนข้างยาก
  • ไม่มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ ต้นทุนวัตถุดิบสูง
  • ต้องผลิตสินค้าสู้กับตลาดต่างประเทศหรือบริษัทใหญ่ที่ต้นทุนถูกกว่า
single arrow กลยุทธ์ที่ “แบรนด์เล็ก” ใช้สู้ “ธุรกิจใหญ่”
 
ความเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่อาจเสียเปรียบธุรกิจใหญ่ในหลายด้าน การใช้จุดแข็งของตัวเองเป็นหลักและพุ่งเป้าไปถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างรายได้ ซึ่งก็มีหลายวิธีได้แก่
 
1. Minimal Style Communication
 
ภาพจาก www.facebook.com/Yuedpao

คือกลยุทธ์ในการนำเสนอข้อความในรูปแบบที่เรียบง่ายและจำเป็นที่สุด โดยใช้คำพูดที่น้อยลง ภาพที่สะอาดตา และการออกแบบที่เน้นเฉพาะจุด ในขณะที่ยังคงสามารถสื่อความหมายหลัก ถ่ายทอดอารมณ์ หรือการกระทำได้อย่างครบถ้วน เพื่อเน้นถึงความชัดเจนให้ลูกค้าเข้าใจได้ทันที 
 
ยกตัวอย่าง Yuedpao แบรนด์เสื้อยืดสัญชาติไทยที่เติบโตมาจากบูธเล็ก ๆ ที่ตลาดนัดจตุจักร เน้น Single Arrow คือ “ซักแล้วไม่ย้วย ไม่ต้องรีด” เพื่อมุ่งเป้าไปที่ ปัญหาหลักของผู้ใช้เสือยืดส่วนใหญ่ที่มักเจอปัญหา คอเสื้อย้วย ทำให้ลูกค้ารับรู้จุดเด่นของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน และทำให้ Yuedpao จากแบรนด์เล็กๆค่อยก้าวสู่การเป็นแบรนด์ใหญ่ที่มีรายได้กว่าพันล้านบาท
 
2.เน้นการตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing)
 
ภาพจาก www.facebook.com/VIFFC

เป็นรูปแบบของ Single Arrow ที่ชัดเจนที่สุด ที่สำคัญคือแบรนด์เล็กไม่ต้องไปสู้ในสงครามราคากับแบรนด์ใหญ่ที่ยังไงก็ได้เปรียบกว่า ข้อดีของการตลาดแบบ Niche Market คือ
  • ประหยัดทรัพยากร ลดต้นทุนการตลาดต่อลูกค้าให้ต่ำลงเพราะไม่ต้องใช้เงินทุ่มตลาดไปยังกลุ่มคนจำนวนมาก
  • ลดการแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ เพราะไม่ต้องสู้ในตลาดหลัก แต่จะสร้างตลาดเฉพาะของตัวเองเน้นไปที่การสร้างความพอให้ลูกค้าเฉพาะของตัวเอง
  • เพิ่มความเป็น Brand Loyalty เมื่อสินค้าสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้นำไปสู่ความรู้สึกประทับใจ ที่จะกลายเป็น Brand Loyalty ในอนาคตได้
ยกตัวอย่างเช่น Vif Pet Food แบรนด์ขนมสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก และต้องการอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% แม้ต้องยอมจ่ายแพงกว่าก็ยังต้องการสินค้า
 
3.กลยุทธ์ 100X Better
 

มีเป้าหมายคือการที่ธุรกิจขนาดเล็กไม่เพียงแต่ดีกว่าแบรนด์ใหญ่ในบางแง่มุม แต่ต้อง ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ใหญ่ทำซอสพริกที่รสชาติมาตรฐาน แต่แบรนด์เล็กทำซอสพริกที่ใช้พริกออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น หรือการที่แบรนด์ใหญ่ชูจุดเด่นว่าเป็นสินค้าผลิตจากโรงงาน แต่แบรนด์เล็กชูจุดขายว่าเป็นสินค้าทำด้วยมือผลิตชิ้นต่อชิ้น ที่ทำให้ดูมีคุณค่าและน่าสนใจกว่าเป็นต้น
 
หรือถ้าให้ยกตัวอย่างแบบเห็นภาพดูกรณีของ กาแฟพันธุ์ไทย ที่ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนยังเป็นแค่แบรนด์เล็กๆแต่ทุกวันนี้ท้าชนแบรนด์ใหญ่อย่างคาเฟ่อมเซอนหรืออินทนิลได้ ก็เป็นผลจากการใช้ Single Arrow คือการยอมรับจุดอ่อน คือลูกเค้าเข้าถึงสินค้าได้ยาก เพราะร้านมีแค่เฉพาะในปั๊มน้ำมัน จึงเกิดจุดเปลี่ยน “พันธุ์ไทยออกนอกปั๊ม” กลายเป็นธุรกิจร้านกาแฟที่อยู่ในศูนย์ราชการ มหาวิทยาลัย หรือทำเลในย่านชุมชนต่างๆ มากขึ้น 
 
ผสมผสานกับการปรับภาพลักษณ์ให้ดูเข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนทั้งโลโก้ โทนสีร้าน ทำให้ยอดขายมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องพร้อมกับการขยายสาขาได้อีกในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ หรือแบรนด์อย่าง Tofusan ที่ชูจุดเด่น Single Arrow คือการเป็นสินค้านมถั่วเหลืองออร์แกนิก ไม่ผสมนมผง เน้นกลุ่มคนรักสุขภาพ ที่ทำให้เจาะกลุ่มลูกค้าได้ดี และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
 
การปรับรูปแบบธุรกิจหรือใช้อการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เป็นแนวทางที่ชัดเจนของ Single Arrow เพราะเราต้องไม่ลืมว่าลูกค้าในยุคใหม่เน้นที่ความคุ้มค่าเป็นหลัก สินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตามไม่ใช่แค่เน้นที่ราคาแต่ต้องแก้ปัญหาและสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้ด้วย ยิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงทั้งในปีนี้และปีหน้า ธุรกิจขนาดเล็กจำเป็นต้องใช้จุดเด่นของตัวเองให้เป็นประโยชน์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เพิ่มขึ้นได้อย่างสูงสุด
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
639
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
582
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
534
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
474
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
459
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
454
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด