บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    ความรู้ทั่วไประบบแฟรนไชส์
274
5 นาที
11 ธันวาคม 2568
สัญญาแฟรนไชส์ 6 ปี กับ 3+3 ปี เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? 
 
 
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโอกาสด้วยการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ หนึ่งในคำถามแรกที่มักผุดขึ้นในใจ คือ สัญญาแบบไหนเหมาะกับเรา การตัดสินใจดูเรื่องระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์ไม่ใช่แค่เรื่องทางกฎหมาย แต่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการดำเนินธุรกิจ ระยะเวลาในการคืนทุน และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
 
ย้อนกลับไปในอดีต สัญญาแฟรนไชส์มักมีระยะเวลายาวถึง 20–25 ปี ต่ออายุได้ครั้งเดียว เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง แต่ยากต่อการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ในขณะที่ปัจจุบันแฟรนไชซอร์และแฟรนไชซีเริ่มให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น โดยสัญญาแฟรนไชส์มักเริ่มต้นอยู่ที่ 3–10 ปี พร้อมกับให้สิทธิ์ต่ออายุ 3–5 ปี
 
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจความเหมือนและความต่างระหว่างสัญญาแฟรนไชส์แบบ 6 ปี กับแบบ 3+3 ปี เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นภาพชัดเจนว่าแต่ละรูปแบบเหมาะกับใคร ลงทุนแบบไหนคุ้มค่า และต้องพิจารณาประเด็นอะไรบ้างก่อนลงนาม เพื่อให้สัญญาไม่ใช่แค่เอกสารทางกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือในการวางกลยุทธ์ธุรกิจที่ช่วยให้การลงทุนมั่นคงและยั่งยืน
 
พัฒนาการสัญญาแฟรนไชส์ จากระยะยาวสู่ความยืดหยุ่น
 

ในอดีตสัญญาแฟรนไชส์มักมีระยะเวลายาวถึง 20–25 ปี และต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว แต่ข้อเสียคือมีความยืดหยุ่นต่ำ ทำให้ปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายได้ยาก
 
ในปัจจุบันแนวทางการทำสัญญาแฟรนไชส์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยสัญญาเริ่มต้นมักมีระยะเวลาประมาณ 3–10 ปี พร้อมกับให้สิทธิ์ต่ออายุอีก 3–5 ปี ทำให้แฟรนไชซอร์สามารถปรับปรุงสัญญาและมาตรฐานร้านให้ทันสมัยได้ ส่วนแฟรนไชซีเองก็สามารถประเมินความคุ้มค่าของธุรกิจ ก่อนต่อสัญญาและปรับกลยุทธ์ใหม่ได้ตามสถานการณ์
 
ระยะเวลาสัญญา ที่ใช้ในการพิจารณาให้ดูจากลักษณะของการลงทุนแฟรนไชส์
 
ลงทุนน้อย - เลือกระยะเวลา 3+3 ปี เหมาะกับธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเทรนด์การตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว
 
ลงทุนสูง - เลือกระยะเวลา 6 ปีขึ้นไป เพื่อความมั่นใจในการคืนทุน และสามารถวางแผนธุรกิจในระยะยาวได้ 

เรื่องต้องรู้ ก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์ 
 

การลงทุนในแฟรนไชส์ไม่ใช่แค่การเซ็นเอกสารแล้วรอเปิดร้านขายของไปวันๆ สัญญาแฟรนไชส์ คือ เครื่องมือวางกลยุทธ์ธุรกิจ ที่กำหนดทิศทางของแฟรนไชส์ซีไปอีกหลายข้างหน้า ดังนั้นก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ควรพิจารณาให้รอบคอบ
 
เริ่มจากตรวจสอบระยะเวลาสัญญาและสิทธิ์ในการต่ออายุสัญญาแฟรนไชส์ให้ชัดเจน เพราะบางแบรนด์แฟรนไชส์อาจมีสัญญาเริ่มต้นเพียง 3–5 ปี แต่สามารถต่ออายุได้หลายครั้ง ขณะที่บางแบรนด์แฟรนไชส์อาจต่ออายุได้ครั้งเดียวเท่านั้น การศึกษารายละเอียดระยะเวลาสัญญาที่ชัดเจน ช่วยให้วสามารถวางแผนการลงทุน และระยะเวลาคืนทุนได้ตรงตามเป้า
 
ต่อมาคือการประเมินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการต่อสัญญา หลายคนมักมองแค่ต้องจ่ายค่าแฟรนไชส์แรกเข้าเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วการต่ออายุสัญญาอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าปรับปรุงร้านให้ตรงมาตรฐานใหม่ หรือค่าอัปเดตระบบแฟรนไชส์ ซึ่งการประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายแฝงที่ทำให้กำไรลดลง
 
หลังจากนั้นให้พิจารณาผลกระทบจากข้อกำหนดใหม่ในสัญญาแฟรนไชส์ที่จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพราะแฟรนไชส์ซอร์อาจมีการปรับสัญญา เช่น เพิ่มข้อกำหนดด้านคุณภาพมาตรฐาน การตลาด หรือค่าใช้จ่ายใหม่ การประเมินล่วงหน้าจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ธุรกิจได้ทันท่วงที ไม่ต้องเจอกับปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งการบริหารจัดการและผลกำไร
 
ความเหมือนกันของสัญญาแฟรนไชส์แบบ 6 ปี และแบบ 3+3 ปี
 

แม้รูปแบบระยะเวลาของสัญญาแฟรนไชส์จะแตกต่างกันระหว่างสัญญาแบบ 6 ปีเต็ม และแบบ 3+3 ปี (สามปีแรกต่ออายุได้อีกสามปี) แต่ทั้งสองต่างมีโครงสร้างพื้นฐานของสัญญาที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก เนื่องจากต่างมุ่งหมายให้เกิดความชัดเจนในสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี
 
ความเหมือนกันของทั้งสองประการแรก คือ ทั้งสองรูปแบบสัญญาแฟรนไชส์ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของแฟรนไชส์ซีอย่างเป็นระบบ โดยแฟรนไชส์ซีจะได้รับสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ ระบบการดำเนินงาน เครื่องหมายการค้า รวมถึงคู่มือปฏิบัติงานตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ซอร์ ในขณะเดียวกัน แฟรนไชส์ซีมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์แรกเข้า ค่าโรยัลตี้รายเดือน หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
 
นอกจากนี้ ระยะเวลาของสัญญาไม่ว่าจะเป็นแบบ 6 ปี หรือ 3+3 ปี ต่างถูกกำหนดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์มีเวลาเพียงพอในการคืนทุน สร้างฐานลูกค้า และพัฒนาธุรกิจให้เข้าที่ก่อนเดินหน้าบริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์ที่เหมาะสม จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มเสถียรภาพธุรกิจให้ทั้งสองฝ่าย
 
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างของสัญญาแฟรนไชส์ทั้ง 2 ประเภท ล้วนประกอบด้วยองค์ประกอบหลักที่เป็นมาตรฐานในสัญญาแฟรนไชส์ระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น
 
เงื่อนไขการชำระเงินและค่าธรรมเนียม ขั้นตอนการต่ออายุสัญญา เงื่อนไขการยกเลิกสัญญา สิทธิ์ในการใช้พื้นที่และข้อจำกัดในเขตพื้นที่ รวมถึงมาตรฐานร้านและการเข้ารับการอบรม ซึ่งรูปแบบสัญญาในประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลียภายใต้แนวทางของ ACCC และสหราชอาณาจักรที่เผยแพร่ผ่านองค์กรแฟรนไชส์ ล้วนแต่สะท้อนหลักการแบบเดียวกัน
 
สัญญาแฟรนไชส์แบบ 6 ปี และแบบ 3+3 ปี แม้จะต่างกันที่ระยะเวลาในการคืนทุน แต่มีแก่นของโครงสร้างสัญญาแฟรนไชส์ ขอบเขตความรับผิดชอบ องค์ประกอบสำคัญในทางกฎหมาย รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน ช่วยสร้างความมั่นคงและความเข้าใจร่วมกันนระหว่างแฟรนไชส์ซอร์กับแฟรนไชส์ซีตลอดอายุการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์
 
เหตุผลที่ต่างประเทศนิยมใช้สัญญาแฟรนไชส์แบบ 3+3 ปี
 

ในช่วงระยะเวลา 5–10 ปีที่ผ่านมา แบรนด์แฟรนไชส์ระดับสากลในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา หรือออสเตรเลีย ได้มีแนวโน้มปรับรูปแบบสัญญาให้เป็นลักษณะ “สัญญาระยะสั้น 3–5 ปี พร้อมให้สิทธิ์ต่ออายุอีก 3–5 ปี” แทนการใช้สัญญาระยะยาว 15–25 ปีเหมือนในอดีต การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของธุรกิจแฟรนไชส์และความจำเป็นในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยมีเหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้
 
ประการแรกสัญญาแฟรนไชส์ระยะสั้นช่วยสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคและการแข่งขันเชิงในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แฟรนไชส์ซอร์จึงต้องหาวิธีในการปรับรูปแบบร้านใหม่ 
 
ปรับเมนูและอุปกรณ์ใหม่ รวมถึงสร้างมาตรฐานการดำเนินงานให้ทันสมัย ก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์รอบใหม่ ดังนั้น โมเดลสัญญาแฟรนไชส์แบบ 3+3 ปี จึงเอื้อให้แบรนด์แฟรนไชส์สามารถอัปเดตระบบได้โดยไม่ติดข้อจำกัดของสัญญาที่ยาวเกินไป
 
ประการต่อมาสัญญาแฟรนไชส์ระยะสั้น ยังช่วยลดความเสี่ยงสำหรับแฟรนไชสน์ซีรายย่อย โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง เช่น คาเฟ่ ร้านขนม หรือร้านเครื่องดื่ม เพราะหากผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แฟรนไชส์ซีก็สามารถยุติสัญญาเมื่อหมดอายุสัญญาระยะแรก 3 ปีได้ง่ายกว่า ไม่จำเป็นต้องผูกพันในสัญญายาวนานจนเป็นภาระในระยะยาว
 
ที่สำคัญสัญญาแฟรนไชส์ระยะสั้นยังสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าแรงขั้นต่ำ กฎหมายด้านภาษี มาตรฐานด้านสุขอนามัย หรือข้อกำหนดด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น การมีระยะเวลาสัญญาที่สั้นลง ช่วยเปิดโอกาสให้คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ทบทวนและปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ได้ง่ายขึ้น
 
ท้ายที่สุดแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงทิศทางของธุรกิจแฟรนไชส์ยุคใหม่ที่เน้นความคล่องตัวและทันสมัย แบรนด์แฟรนไชส์ในระดับสากลจำนวนมาก ลดการใช้สัญญาแฟรนไชส์ระยะยาว หันมาเลือกใช้สัญญาระยะสั้น 3-5 ปี + 3-5 ปี เพื่อรักษาความยืดหยุ่นในการพัฒนาระบบธุรกิจแฟรนไชส์ให้แข็งแกร่และแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
 
กรณีที่สัญญาแฟรนไชส์แบบ 6 ปี ยังคงได้รับความนิยม  
 

แม้แนวโน้มการใช้สัญญาแฟรนไชส์ในหลายประเทศจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบสัญญาระยะสั้น เช่น 3+3 ปี แต่ก็ใช่ว่าทุกรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์จะเหมาะสมกับโมเดลระยะสั้น ธุรกิจบางประเภทยังคงจำเป็นต้องใช้สัญญาระยะยาวราว 6 ปีหรือมากกว่า เนื่องจากลักษณะการลงทุนและการดำเนินงาน ที่ต้องการเสถียรภาพทางธุรกิจในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 
 
ธุรกิจที่มักนิยมใช้สัญญาแฟรนไชส์ระยะยาว ได้แก่ ร้านอาหารที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือร้านที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการสร้างระบบครัว อุปกรณ์เฉพาะทาง หรือโครงสร้างภายในร้าน ซึ่งต้องใช้เวลาคืนทุนค่อนข้างนาน 
 
ธุรกิจแฟรนไชส์ที่ต้องทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาว เช่น ในศูนย์การค้าหรืออาคารพาณิชย์ มักต้องให้ระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์ที่สอดคล้องกับอายุสัญญาเช่าพื้นที่ในห้าง เพื่อความมั่นคงในระยะยาวของการดำเนินธุรกิจ 
 
ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่ต้องการรักษาภาพลักษณ์และมาตรฐานร้านในระยะยาว โดยไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ก็มีแนวโน้มเลือกใช้สัญญาที่มีระยะเวลายาวนานขึ้น เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง
 
สัญญาแฟรนไชส์ในระยะยาวยังช่วยให้แฟรนไชส์ซี มีระยะเวลาเพียงพอในการคืนทุน อีกทั้งยังช่วยแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีสามารถวางแผนการตลาด และวางแผนขยายสาขาในระยะยาวได้อย่างมั่นคง
 
สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนเลือกระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์
 

การเลือกระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความคุ้มค่าของการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง นักลงทุนจึงควรประเมินหลายด้านอย่างรอบคอบ ไม่ใช่มองเพียงภาพรวมของแบรนด์หรือผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว
 
ประเด็นแรก คือ ระยะเวลาคืนทุน บอกว่าผู้ลงทุนต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะคืนทุน หากต้องใช้เม็ดเงินเริ่มต้นสูงและต้องรอหลายปีกว่าจะคุ้มทุน สัญญาระยะสั้นอาจไม่เหมาะ เพราะอาจไม่มีช่วงเวลามากพอให้ทำกำไรและชดเชยค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้
 
ต่อมาคือ เทรนด์ธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือเครื่องดื่ม หากตลาดมีความผันผวนสูง การเลือกสัญญาที่มีความยืดหยุ่น เช่น 3+3 ปี อาจตอบโจทย์กว่า เพราะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับตัวได้ง่ายขึ้น 
 
อีกเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ คือ เงื่อนไขการต่ออายุสัญญา เนื่องจากอาจมีข้อกำหนดให้รีโนเวทร้าน ซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือจ่ายค่าธรรมเนียมต่ออายุเพิ่มเติม หากไม่ได้ประเมินค่าใช้จ่ายเหล่านี้ล่วงหน้า อาจทำให้ต้นทุนจริงสูงกว่าที่คาดคิดอย่างมาก
 
นอกจากนี้ควรตรวจสอบเงื่อนไขการยุติหรือออกจากระบบแฟรนไชส์ เพราะสัญญาบางฉบับไม่อนุญาตให้ยกเลิกก่อนกำหนด หรือมีการกำหนดค่าปรับสูงจนกระทบสภาพคล่อง ต้องทำการเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้วางแผนความเสี่ยงได้ดีขึ้น
 
สุดท้ายคือ ความโปร่งใสของข้อมูลแฟรนไชส์ ผู้ลงทุนควรตรวจสอบเอกสารสำคัญ เช่น Franchise Disclosure Document (FDD) หรือ Key Facts Sheet เพื่อดูข้อมูลรายได้ ต้นทุนจริง ประวัติการดำเนินงาน และความเสี่ยงของธุรกิจ การมีข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
 
แนวโน้มของสัญญาแฟรนไชส์ในยุคใหม่
 

สัญญาแฟรนไชส์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีตที่มักกำหนดระยะสัญญาแฟรนไชส์ยาว 20–25 ปี ทุกวันนี้แฟรนไชส์ส่วนใหญ่หันมาใช้สัญญาระยะสั้น คือประมาณ 3–10 ปี และสามารถต่ออายุได้ครั้งละ 3–5 ปี แนวโน้มนี้เกิดจากความจำเป็นของธุรกิจที่ต้องการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ตลาด เทคโนโลยี และกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
 
สัญญาแฟรนไขส์ระยะสั้นช่วยให้แบรนด์สามารถอัปเดตร้านและอุปกรณ์ให้ทันสมัยได้บ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ร้าน การนำเทคโนโลยีมาให้บริการลูกค้า หรือพัฒนาระบบหลังบ้านที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อรูปแบบธุรกิจในอนาคต
 
การมีรอบต่ออายุสัญญาที่ถี่ขึ้น ยังเปิดโอกาสให้ทั้งแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี สามารถทบทวนและอัปเดตเงื่อนไขสัญญา ให้เหมาะกับสถานการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด โครงสร้างผลตอบแทน หรือมาตรฐานการดำเนินงาน ทำให้ระบบแฟรนไชส์มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่าเดิม
 
สรุป


การเลือกระยะเวลาสัญญาแฟรนไชส์เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทั้งโครงสร้างต้นทุน ความเสี่ยง และศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ นักลงทุนจึงควรประเมินความเหมาะสมระหว่างลักษณะการลงทุนกับรูปแบบสัญญาอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและลดความเสี่ยงในระยะยาว
 
สำหรับธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง สัญญาระยะสั้นในรูปแบบ 3+3 ปี ถือเป็นตัวเลือกที่ให้ความยืดหยุ่นสูง ผู้ลงทุนสามารถปรับตัวตามสภาพตลาดได้ง่าย และลดภาระความเสี่ยงหากผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากสามารถเลือกไม่ต่อสัญญาได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระระยะยาว
 
ขณะที่ธุรกิจที่มีเงินลงทุนสูง หรือมีความจำเป็นต้องติดตั้งระบบร้าน อุปกรณ์ และโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เวลาคืนทุนนาน การเลือกสัญญา 6 ปีขึ้นไป มักมีความเหมาะสมกว่า เนื่องจากเปิดโอกาสให้คืนทุนได้ครบถ้วน และช่วยให้ผู้ลงทุนวางแผนการดำเนินงานระยะยาวได้อย่างมั่นคง
 
นอกจากระยะเวลาสัญญา นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับเงื่อนไขการต่ออายุสัญญา สิทธิและข้อจำกัดหลังสัญญาสิ้นสุด รวมถึงค่าใช้จ่ายหรือข้อกำหนดเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การตรวจสอบเงื่อนไขเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยลดความเสี่ยงจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน รวมถึงป้องกันปัญหาทางกฎหมายตามมาในภายหลัง
 
สุดท้าย การซื้อแฟรนไชส์ควรตั้งอยู่บนข้อมูลที่ครบถ้วน อีกหนึ่งทางออกอยากให้นักลงทุนปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการเงินก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์ เพื่อประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมในการทำธุรกิจของแต่ละราย
 
แหล่งข้อมูล 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
5 แฟรนไชส์มาใหม่! น่าลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 25..
992
โอกาสมาแล้ว! 13 แบรนด์แฟรนไชส์ระดับโลกพร้อมเปิดต..
761
เจาะลึก Applebee´s แฟรนไชส์ร้านอาหารที่มาแรงทั่..
370
รวมแฟรนไชส์ชานมไข่มุกไทย มีระบบพร้อมเปิดร้าน
359
6 โปรโมชั่น! ส่วนลดค่าแฟรนไชส์ พร้อมใช้ได้ทันที
359
Abiko Curry แฟรนไชส์ฮิตจากโซล สู่เวทีโลกด้วยสูตร..
327
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด