COCA จากร้านสุกี้เล็กๆ สู่ต้นแบบแฟรนไชส์ไทยขยายต่างประเทศ
 

กว่า 60 ปีบนเส้นทางธุรกิจอาหาร “โคคา” (COCA Restaurant) คือหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง และเติบโตจนกลายเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จักในฐานะ “สุกี้ต้นตำรับของประเทศไทย”
 

เบื้องหลังความสำเร็จนี้เกิดจากความมุ่งมั่นของครอบครัว “พันธุ์เพ็ญโสภณ” ที่ไม่เพียงสืบสานสูตรอาหารต้นตำรับเท่านั้น แต่ยังสืบทอดจิตวิญญาณแห่งการปรับตัวและกล้าคิดนอกกรอบ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน
 

จุดเริ่มต้นจากห้องอาหารเล็กๆ บนถนนเดโช
 

ภาพจาก https://coca.com

เรื่องราวของโคคาเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) เมื่อ คุณศรีชัย และคุณปัทมา พันธุ์เพ็ญโสภณ เปิดห้องอาหารจีนกวางตุ้งขนาด 20 ที่นั่งบนถนนเดโช กรุงเทพฯ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความรักในงานบริการ ทั้งคู่ยึดหลักการทำอาหารด้วยความพิถีพิถันและจริงใจ ทำให้ร้านเล็กๆ แห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ
 

ไม่นานหลังจากนั้น ร้านได้ขยายกิจการและย้ายมายังซอยทานตะวัน ถนนสุรวงศ์ จากร้านเล็กเพียง 20 ที่นั่ง พัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นภัตตาคารขนาด 800 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญของแบรนด์ร้านอาหารในยุคนั้น
 

ผู้บุกเบิกสุกี้ต้นตำรับแห่งแรกในประเทศไทย
 

ภาพจาก https://coca.com

ในยุคที่วัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบ “สุกี้” ยังไม่เป็นที่รู้จักในไทย โคคาได้ริเริ่มนำเสนอรูปแบบใหม่ของการรับประทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะ ที่ลูกค้าสามารถเลือกวัตถุดิบได้เองตามใจ ทั้งเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักสด และของกินเล่นต่างๆ โดยเสิร์ฟแยกเป็นจานเล็กๆ แทนการจัดเป็นชุดใหญ่แบบเดิม
 

แนวคิดนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการอาหารไทย และทำให้โคคาได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วว่าเป็น “ผู้บุกเบิกสุกี้ไทย” อย่างแท้จริง นอกจากนี้ โคคายังสร้างนวัตกรรมครั้งสำคัญในยุคนั้น ด้วยการเป็นภัตตาคารห้องแอร์แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่ในสมัยนั้น เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ
 

“ในช่วงเปิดร้านแรกๆ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ถ้าอยากให้ลูกค้าทานอาหารได้อย่างสบาย เราต้องกล้าปรับตัว การค้าขายต้องดัดแปลงและปรับเปลี่ยนได้เสมอ” คุณพิทยากล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

ภาพจาก https://coca.com

ปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโคคา เมื่อ คุณพิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ ลูกชายของผู้ก่อตั้งเข้ามาสานต่อกิจการของครอบครัว เขามองเห็นว่าธุรกิจต้องมีระบบบริหารที่ชัดเจน จึงปรับโครงสร้างจากภัตตาคารแบบครอบครัว สู่การบริหารจัดการในรูปแบบบริษัทภายใต้ชื่อ COCA Holdings International Co., Ltd.
 

การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นไม่เพียงทำให้โคคามีระบบบริหารจัดการที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังสร้างรากฐานให้แบรนด์พร้อมสำหรับการเติบโตและขยายสู่ระดับนานาชาติ
 

ก้าวแรกสู่ตลาดต่างประเทศ
 

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว คุณพิทยากลับมองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดต่างประเทศ ด้วยแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “เงินมีอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่าใครจะคว้ามันก่อน และนี่คือเหตุผลที่เราก้าวไปต่างประเทศ”

 

ปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) โคคาเปิดสาขาแรกที่ประเทศสิงคโปร์ ตามด้วย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มาเก๊า ลาว เมียนมา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อังกฤษ จีน ฯลฯ 
 

แต่ละประเทศมีความท้าทายต่างกัน โคคาจึงเน้นการศึกษา “พฤติกรรมผู้บริโภค” อย่างลึกซึ้ง เพื่อปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยแท้ รักษารสชาติไทยแท้ในระดับสากล
 

หัวใจของโคคาคือการคงไว้ซึ่งความเป็นต้นตำรับในทุกประเทศ
 

ภาพจาก https://coca.com

 

“เรายึดหลักว่าอย่าเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของไทยมากเกินไป และอย่าเปลี่ยนรสชาติให้ผิดจากต้นตำรับ ลูกค้าทุกประเทศต้องได้ลิ้มรสโคคาในแบบที่แท้จริง” คุณพิทยากล่าว

แนวทางนี้พิสูจน์แล้วว่าได้ผล โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและไต้หวัน ที่ผู้บริโภคชื่นชอบอาหารไทยรสจัดจ้าน ร้านอาหาร “Mango Tree” กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่น และช่วยให้แบรนด์โคคาประสบความสำเร็จเหนือหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
 

กลยุทธ์พาร์ทเนอร์ เติบโตไปด้วยกัน
 

ภาพจาก https://coca.com

โคคาเลือกใช้กลยุทธ์ Joint Venture (JV) ในการขยายตลาดต่างประเทศ แทนการขายแฟรนไชส์แบบทั่วไป โดยให้พาร์ทเนอร์ถือหุ้น 60% และโคคาถือ 40% เพื่อให้พาร์ทเนอร์มีอิสระและมีแรงจูงใจในการบริหารงาน
 

“เราไม่มองพาร์ทเนอร์เป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์ แต่เป็นผู้ร่วมทาง เราต้องคุยรู้เรื่อง คิดเหมือนกัน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน พาร์ทเนอร์ที่ดีต้องมีทุนหมุนเวียน เข้าใจตลาด และพร้อมรับความเสี่ยงไปกับเรา”
 

โคคาจะร่วมตั้งบริษัทในแต่ละประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากสาขาในประเทศใดประสบปัญหา ก็จะไม่กระทบต่อบริษัทแม่ในประเทศไทย
 

โคคาในวันนี้ และเป้าหมายวันข้างหน้า
 

ภาพจาก https://coca.com

ปัจจุบัน โคคามีสาขากว่า 30 แห่งใน 14 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นในไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาสุรวงศ์ , สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาสุขุมวิท 39  โดยรายได้จากต่างประเทศคิดเป็น 60–70% ของรายได้รวมทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการขยายแบรนด์ไทยสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน
 

ตลาดใหม่ที่โคคากำลังศึกษาอย่างจริงจังคือ ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีศักยภาพสูงแต่เต็มไปด้วยการแข่งขัน “คนจีนในจีนไม่เหมือนคนจีนในไทย เราต้องศึกษาให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคก่อนลงมือจริง” คุณพิทยากล่าวอย่างรอบคอบ
 

 

ภาพจาก https://coca.com

จากประสบการณ์กว่า 60 ปี คุณพิทยาฝากข้อคิดไว้ว่า “ถ้าอยากขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ต้องหาพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสม เข้าใจกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน อย่าพยายามประหยัดกับเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ต้องจดให้ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ และควรมีนักกฎหมายท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญช่วยดูแล”
 

ภาพจาก https://coca.com

จากร้านอาหารกวางตุ้งเล็กๆ เพียง 20 ที่นั่งบนถนนเดโช สู่แบรนด์ร้านอาหารไทยที่มีสาขา 30 สาขาครอบคลุมกว่า 14 ประเทศทั่วโลก 
 

COCA คือหนึ่งในตัวอย่างของธุรกิจร้านอาหารไทยที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความมุ่งมั่น ความเข้าใจ และการไม่หยุดพัฒนา”
 

กว่า 60 ปีที่ผ่านมา COCA เติบโตจากร้านอาหารครอบครัว ด้วยสูตรรสชาติที่กลมกล่อมและการบริการที่อบอุ่น จนกลายเป็นต้นแบบแฟรนไชส์ไทยขยายสู่ระดับโลก ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น “สุกี้และอาหารแบบไทยแท้”
 

แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้ไม่เหมือนใคร คือ ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จากการพัฒนาเมนูให้เข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์การรับประทานที่ทันสมัย แต่ยังคงหัวใจของความอบอุ่นแบบไทย

“แบรนด์เล็กๆ ต้องปั้นให้โต แบรนด์ใหญ่ๆ ต้องขยายให้ยิ่งใหญ่” คือแนวคิดที่สะท้อนจิตวิญญาณของ COCA ได้อย่างชัดเจน
 

ในวันนี้ COCA ไม่ได้เป็นเพียงร้านสุกี้ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จของร้านอาหารแบบไทยที่ก้าวไกลระดับโลก
 

ด้วยเป้าหมายระยะยาวสู่ “แบรนด์ 500 ปี” COCA ยังคงเดินหน้าส่งต่อรสชาติแห่งความสุข ความอบอุ่น และคุณค่าของอาหารที่ทำด้วยใจ จากรุ่นสู่รุ่น และจากประเทศไทย... สู่โต๊ะอาหารทั่วโลก 

 

อ้างอิง

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)