บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    ความรู้ทั่วไประบบแฟรนไชส์
272
4 นาที
10 กันยายน 2568
เหลือเชื่อ! คนไทยซื้อแฟรนไชส์ แต่เจ๊งใน 2 ปีแรก
 

หลายคนเห็นคนอื่นซื้อแฟรนไชส์แบรนด์นั้น แบรนด์นี้ เปิดร้านแล้วขายดี เลยซื้อตาม สุดท้ายไปไม่รอด ขาดทุน ปิดกิจการ
 
นี่คือเรื่องจริงที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์รายย่อยจำนวนไม่น้อย ที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ผ่านการซื้อแฟรนไชส์ แต่สุดท้ายไปไม่ถึงฝั่ง จบลงด้วยการขาดทุน และกลายเป็นหนี้ในเวลาไม่ถึง 2 ปี
 
ในยุคที่แฟรนไชส์ถูกมองว่าเป็น “ทางลัด” ในการทำธุรกิจ ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ได้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง สามารถลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจได้ แต่กลับมีคนจำนวนมากที่ “เจ๊ง” ไม่เป็นท่าในช่วงปีแรกหรือปีที่สองของการดำเนินธุรกิจ
 
เกิดอะไรขึ้นกับโมเดลที่หลายๆ คน คิดว่าเป็ฯ “ทางลัด” และ “มีโอกาสรอด” มากกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์
 
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก ตัวเลข สาเหตุ และวิธีเอาตัวรอด ก่อนตัดสินใจลงทุนในระบบแฟรนไชส์
 
แฟรนไชส์ โอกาสหรือกับดักสำหรับนักลงทุนมือใหม่
 

ธุรกิจแฟรนไชส์คือระบบที่ให้สิทธิ์ผู้ลงทุนเปิดร้านภายใต้แบรนด์ที่มีอยู่แล้ว โดยมีความหวังว่าจะลดความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างแบรนด์ ระบบการบริหาร การทำการตลาด และการขยายฐานลูกค้า
 
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกแฟรนไชส์ เช่น แบรนด์มีชื่อเสียงและลูกค้าประจำ, เจ้าของแฟรนไชส์มีระบบบริหารจัดการช่วยเหลือ ช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์
 
แต่ความจริงคือ แฟรนไชส์ก็มีโอกาสล้มเหลวไม่ต่างจากธุรกิจอื่น หากขาดความเข้าใจในโมเดลและบริหารจัดการไม่เป็น
 
ตัวเลขที่น่าตกใจ เจ๊งใน 2 ปีแรกมากกว่า 60%
 
ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน ชี้ตรงกันว่า กว่า 60% ของผู้ซื้อแฟรนไชส์รายย่อยในไทย ล้มเหลวภายใน 2 ปีแรก ธุรกิจที่ดูเหมือน “ขายดี” บนโซเชียล อาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะตัวเลขรายได้ที่เห็นนั้น ไม่ได้นับรวมต้นทุนแฝง ค่าธรรมเนียมรายปี หรือค่าใช้จ่ายจากระบบของแฟรนไชส์ ซึ่งหลายคนมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง

สาเหตุหลักของความล้มเหลว
 
1.ขาดความรู้และประสบการณ์
 

หลายคนมองว่าแฟรนไชส์คือ “สูตรสำเร็จ” เพียงแค่จ่ายเงิน ก็จะได้ร้านพร้อมระบบทันที แต่ลืมไปว่าการทำธุรกิจคือการบริหารจริงในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่แค่การขายอาหารหรือเครื่องดื่มตามคู่มือ
 
2.ตัดสินใจตามกระแส
 
บางคนซื้อแฟรนไชส์เพราะเห็นคนอื่นทำแล้วดูขายดี เช่น ร้านชาไข่มุกในทำเลเดียวกัน 3 เจ้า โดยไม่มีการวิเคราะห์ตลาดและกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ของตัวเอง
 
3.ต้นทุนสูง แต่รายได้ไม่พอ
 
หลายแบรนด์มีค่าแฟรนไชส์ ค่าก่อสร้าง ค่าตกแต่ง ค่าพนักงาน และค่าเช่าพื้นที่ รวมแล้วอาจสูงถึงหลักแสนหรือหลักล้าน แต่ยอดขายต่อวันกลับไม่ถึงจุดคุ้มทุน
 
4.ระบบแฟรนไชส์ไม่สนับสนุน
 
บางแบรนด์เน้นขยายจำนวนมากกว่าคุณภาพ ไม่ได้มีระบบช่วยเหลือที่แท้จริง เช่น การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง การตลาด หรือการสนับสนุนหลังเปิดร้าน
 
 
ตัวอย่างแบรนด์แฟรนไชส์ต่างประเทศ ที่เข้าไทยแล้ว...ไม่รอด
 
แม้แต่แบรนด์แฟรนไชส์ระดับโลก แต่ก็ไม่สามารถการันตีความสำเร็จในตลาดเมืองไทยได้ เช่น
  1. Popeyes สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2538 ปิดกิจการ 2540 (ขาดทุนจากวิกฤตต้มยำกุ้ง) 
  2. โรตีบอย (Rotiboy) สัญชาติมาเลเซีย เข้าไทย 2548 สาขาแรก สยามสแควร์-สีลม ปิดกิจการ 2550 (การแข่งขันสูง คู่แข่งทำเลียนแบบได้ง่าย) 
  3. The Coffee Bean & Tea Leaf สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2556 สาขาแรก สยามเซ็นเตอร์ ปิดกิจการ 2563 (ขาดทุน) 
  4. เอแอนด์ดับบลิว (A&W) สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2526 สาขาแรก เซ็นทรัลลาดพร้าว ปิดกิจการ 2565 (ขาดทุน)
  5. Family Mart สัญชาติญี่ปุ่น เข้าไทย 2535 สาขาแรก พระโขนง ปิดกิจการ 2566 (ขาดทุน หมดสัญญา) 
  6. บาสกิ้น ร็อบบิ้นส์ (Baskin Robbins) สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2539 ปิดกิจการ 2566 (ขาดทุน)
  7. Tim Ho Wan สัญชาติฮ่องกง เข้าไทย 2558 สาขาแรก Terminal 21 อโศก ปิดกิจการ 2567 (ขาดทุน) 
  8. Texas Chicken สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2558 สาขาแรก เซ็นทรัล เวสต์เกต ปิดกิจการ 2567 (ขาดทุน)
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์แฟรนไชส์ไอศกรีมและชาชื่อดังจากจีนหลายแบรนด์ ที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ประกาศเซ้งในราคาหลักแสนบาทตามเพจเซ้งร้านหลายราย แสดงให้เห็นว่าไปไม่รอดหรือขาดทุน จากการแข่งขันสูง
 
ยังไม่นับรวมแฟรนไชส์ชาเขียว ราคาเดียว 25 บาท/แก้ว ที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนแห่ซื้อแฟรนไชส์เปิดร้านจำนวนมาก ในตอนนั้นมีแฟรนไชส์ชาเขียวมากกว่า 50 แบรนด์ในไทย แต่พอมาถึงตอนนี้แทบจะหาร้านไม่เจอแล้ว 

 
แนวทางป้องกันไม่ให้ “เจ๊งตาม” แฟรนไชส์ที่ล้มเหลว
 
แม้แฟรนไชส์จะดูเหมือนทางลัดในการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือ 4 แนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คนซื้อแฟรนไชส์มีโอกาสรอดมากขึ้น
 
1.ศึกษาแฟรนไชส์ให้ลึก ก่อนตัดสินใจซื้อ
 
ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ควรเชื่อแค่โบรชัวร์หรือโฆษณา ต้องทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้ ค้นหาข้อมูลแบรนด์แฟรนไชส์
 
สิ่งที่ควรตรวจสอบ
  • จำนวนสาขาของแบรนด์ ถ้ามีสาขาจำนวนน้อยอาจเป็นแฟรนไชส์ที่ไม่ได้รับความนิยม หรือใช้เงินลงทุนเปิดร้านสูงมาก
  • มีสาขาปิดตัวไปแล้วหรือไม่ หากมีสาขาปิด อาจเป็นเพราะทำเลไม่ดี หรือระบบไม่เวิร์ก หรือแฟรนไชส์ซีบริหารไม่เป็น 
  • มีระบบสนับสนุนหลังบ้านหรือไม่ เช่น การฝึกอบรม การตลาด วัตถุดิบ การบริหารจัดการ ฯลฯ 
  • ถ้ามีแค่ "ขายสิทธิ" แต่ไม่มีระบบช่วยเหลือ จะมีความเสี่ยงสูง แบรนด์ที่ดีจะมีระบบเทรนนิ่งที่ชัดเจน และมีเอกสาร SOP 
ดังนั้น ก่อนซื้อแฟรนไชส์ควรพูดคุยกับแฟรนไชส์ซีที่ทำอยู่จริง ลองไปเยี่ยมสาขาที่เปิดอยู่เพื่อสังเกตการณ์ อย่าตัดสินใจเพราะ "แบรนด์ดัง" แต่ให้ดูว่าระบบหลังบ้านของแบรนด์แข็งแกร่งแค่ไหน มีระบบสนับสนุนอะไรบ้าง
 
2. วางแผนการเงินอย่างละเอียดรอบคอบ 
 

ธุรกิจทุกประเภทต้องการการวางแผนการเงิน ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เช่นกัน ต้องประเมินงบให้รอบคอบ 
 
โดยมีต้นทุนที่ควรคำนวณ เช่น 
  • ก่อนเปิดร้าน ค่าแฟรนไชส์, ค่าก่อสร้างร้าน, ค่าวัสดุอุปกรณ์, ค่าประกันสัญญา, ค่าตกแต่ง
  • หลังเปิดร้าน ค่าเช่ารายเดือน, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ, ค่าน้ำ-ไฟ, ค่าการตลาด, ค่า Royalty Fee 
  • เงินสำรอง (เงินหมุนเวียน) อย่างน้อย 6–12 เดือน เพื่อรับมือช่วงที่ยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ตั้งเป้ารายได้ขั้นต่ำ คุณควรรู้ว่า ร้านต้องขายได้กี่บาท/วัน/เดือน ถึงจะคุ้มทุนและเริ่มมีกำไร ผู้ซื้อแฟรนไชส์อาจต้องทำ Cash Flow Plan รายเดือน วางแผนเผื่อกรณีแย่ที่สุด เช่น รายได้ลดลง 30%
 
3. เลือกทำเลจาก “ข้อมูลจริง” ลงสำรวจพื้นที่จริง
 

ทำเลคือหัวใจของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีหน้าร้าน แม้แบรนด์จะดีแค่ไหน ถ้าทำเลไม่ใช่ ก็มีโอกาสเจ๊งได้
 
โดยสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ คือ  
  • สำรวจพฤติกรรมลูกค้า มีคนเดินจริงหรือไม่ ตรงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์หรือไม่
  • ศึกษาคู่แข่ง มีเจ้าอื่นหรือแบรนด์เดียวกันขายเหมือนกันในพื้นที่หรือไม่ ถ้ามี ต้องประเมินความได้เปรียบ-เสียเปรียบของแบรนด์
  • พิจารณาค่าเช่า ค่าเช่าสูงเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับศักยภาพทำเล
ดังนั้น ก่อนซื้อิแฟรนไชส์ควรไปยืนดูลูกค้าที่หน้าทำเลเช่าจริงในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงคุยกับร้านข้างๆ เพื่อดูพฤติกรรมลูกค้า
 
4.เตรียมตัวเป็น “เจ้าของกิจการ” ไม่ใช่แค่ “ผู้ซื้อระบบ”
 
การซื้อแฟรนไชส์ ไม่ใช่การจ่ายเงินแล้วรอรับผลกำไร คุณยังต้องบริหารธุรกิจอย่างจริงจังเหมือนธุรกิจทั่วๆ ไป
 
สิ่งที่เจ้าของต้องพร้อมทำ
  • เข้าใจพื้นฐานบัญชี บันทึกรายรับ-รายจ่าย รู้ต้นทุน รู้กำไรจริง
  • บริหารพนักงาน คัดเลือกพนักงาน วางกะ จัดการปัญหาคนลาออก ขาดงาน
  • แก้ปัญหาเฉพาะหน้า สต๊อกวัตถุดิบขาด, ลูกค้าคอมเพลน, ระบบ POS ล่ม ฯลฯ
  • สื่อสารกับลูกค้าและเจ้าของแฟรนไชส์ ต้องเป็นทั้งนักแก้ปัญหา และนักประสานงาน
ดังนั้น ก่อนซื้อแฟรนไชส์ ควรสมัครเรียนคอร์สสั้นๆ เรื่องระบบแฟรนไชส์ เช่น บัญชีเบื้องต้น, การบริหารคน อย่าหวังพึ่งพนักงาน 100% ช่วงแรกควรทำงานประจำอยู่ร้านด้วยตัวเอง 

 
สรุปก็คือ ก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ ลองตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน
 
1. คุณเข้าใจ "ต้นทุนทั้งหมด" แล้วหรือยัง เพราะต้นทุนที่แท้จริง ไม่ได้มีแค่ค่าแฟรนไชส์ 
 
หลายคนเข้าใจว่าซื้อแฟรนไชส์แค่จ่าย “ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์” แล้วจบ แต่ความจริงแล้ว ยังมีต้นทุนซ่อนอยู่อีกมาก เช่น
  • ค่าแฟรนไชส์ (Franchise Fee): ค่าธรรมเนียมจ่ายให้เจ้าของแบรนด์
  • ค่าก่อสร้าง/ตกแต่งร้าน ค่ารีโนเวทตามมาตรฐานแบรนด์
  • ค่าอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว เครื่องชงกาแฟ ระบบ POS ฯลฯ
  • ค่าวัตถุดิบล็อตแรก
  • ค่าการตลาดก่อนเปิดร้าน (Pre-Opening Marketing)
  • ค่าเช่าพื้นที่ล่วงหน้า และค่าประกัน
  • ค่าจ้างพนักงานเดือนแรกๆ
  • ค่าธรรมเนียมรายเดือน / รายปี / ค่า Royalty Fee
  • เงินหมุนเวียน (Cash Flow) อย่างน้อย 3-6 เดือน
2.คุณมีแผนสำรอง หากรายได้ไม่ถึงเป้าหมายหรือไม่ เพราะธุรกิจเปิดใหม่ มักไม่ทำกำไรทันที
 

ที่ผ่านมาพบว่าในช่วง 3-6 เดือนแรก มีหลายแบรนด์แฟรนไชส์มียอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หากคุณไม่มีแผนสำรอง อาจต้องใช้เงินเก็บ หรือกู้ยืมเพิ่ม จนนำไปสู่การขาดทุนสะสมในอนาคต
 
ตัวอย่างแผนสำรองที่ควรมี เช่น 
  • มีเงินทุนสำรองอย่างน้อย 6 เดือน สำหรับค่าเช่า-พนักงาน-วัตถุดิบ
  • มีช่องทางรายได้เสริม เช่น ธุรกิจอื่น งานประจำ หรือ Passive Income
  • มีแผนควบคุมต้นทุน เช่น ปรับเวลาเปิดร้าน หรือลดจำนวนพนักงานชั่วคราว
  • มีแผนการตลาดสำรอง ถ้ายอดขายต่ำ เช่น แจกคูปอง เปิดโปร 1 แถม 1
3.คุณพร้อมจะเหนื่อยและทำงานจริงจังแบบเจ้าของกิจการจริงหรือเปล่า
 

หลายคนเข้าใจผิดว่าแฟรนไชส์จะช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ รอรับเงินอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานเหมือนธุรกิจทั่วไป แต่ความจริงคือ
  • คุณต้องบริหารร้านเหมือนเจ้าของกิจการ
  • ต้องจัดตารางงานการทำงาน บริหารพนักงาน รับมือจากการคอมเพลนของลูกค้า
  • ต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการ
  • ต้องศึกษาเรื่องต้นทุน กำไร ขาดทุน การตลาด
  • ต้องพร้อมทำเองทุกอย่าง ในช่วงที่ระบบยังไม่ลงตัว
ตัวอย่างสิ่งที่ต้องเจอ เช่น 
  • พนักงานลาออกกะทันหัน คุณต้องไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เอง
  • วัตถุดิบส่งช้า คุณต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  • ลูกค้าคอมเพลน คุณต้องรับฟังและจัดการด้วยตัวเอง
ดังนั้น ก่อนซื้อแฟรนไชส์ลองถามตัวเองให้ชัดก่อนว่า คุณอยากเป็นเจ้าธุรกิจตัวจริง หรือแค่ ลงทุนแล้วรอรับผลกำไร 
 
ถ้าหวังแค่รอรับผลกำไร ไม่ต้องเหนื่อย...ระบบแฟรนไชส์อาจไม่ใช่คำตอบ
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
841
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
587
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
504
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
481
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
472
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
446
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด