บทความทั้งหมด    บทความค้าขาย    การเริ่มต้นค้าขาย    ความรู้ทั่วไปการค้าขาย
312
3 นาที
5 สิงหาคม 2568
พื้นที่ 9 ตร.ม. เปิดร้านหน้า 7-Eleven สร้างยอดขายหลักแสน
 

ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทวิจัยระดับโลก มีการประเมินว่าตลาดธุรกิจร้านอาหารอีสานในประเทศไทยในปัจจุบัน น่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 17,500 ล้านบาท นับว่าเป็นเทรนด์ร้านอาหารที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ 
 
จนกลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เพราะอาหารอีสานเป็นที่นิยมของคนไทยและต่างชาติ แต่การจะเปิดร้านอาหารอีสานให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีการวางแผนและเตรียมตัว โดยเฉพาะการหาทำเลในการเปิดร้าน
 
การเลือกทำเลในการเปิดร้าน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเปิดร้านใน ทำเลที่คนพลุกพล่าน เห็นได้ง่าย เข้าถึงสะดวก และใกล้บ้าน อย่างเช่นกรณีหน้าร้าน 7-Eleven จะมีโอกาสในการขาย 
  1. มีคนเดินผ่านตลอดวัน หน้าร้าน 7-Eleven เปิด 24 ชั่วโมง มีลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักเรียน พนักงาน อาชีพอิสระ คนขับรถ ฯลฯ คุณจะได้ “แชร์ทราฟฟิก” (Traffic Sharing) จากลูกค้าที่จะมาเซเว่นอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ
  2. พฤติกรรมลูกค้าเน้น “ซื้อเร็ว ตัดสินใจเร็ว” คนที่เข้า 7-Eleven มักชอบซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ทานง่าย ใช้สะดวก เช่น ขนม อาหารว่าง น้ำดื่ม ฯลฯ ถ้าร้านของคุณมีสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ “ซื้อต่อ” ก็จะได้ลูกค้าแทบไม่ต้องโฆษณาเยอะ
  3. สร้างความน่าเชื่อถือทางด้านจิตวิทยา คนจะรู้สึกว่า “ถ้าเปิดร้านหน้าเซเว่นได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่” เพราะพื้นที่แบบนี้มักจะต้องขออนุญาตและมีเจ้าของพื้นที่คัดเลือกธุรกิจที่จะมาเปิดร้าน ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ร้านคุณดู "น่าเชื่อถือ น่าลอง"
  4. เหมาะกับร้านที่ขายของกิน ของใช้ และบริการเร่งด่วน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ขนมปังปิ้ง ฯลฯ มาถึงตรงนี้
คุณเชื่อหรือไม่ว่า พื้นที่ 9 ตร.ม. เปิดร้านหน้า 7-Eleven สร้างยอดขายหลักแสนได้ 
 

ขายอาหารอีสานแค่หน้าร้านเล็กๆ ขนาด 3x3 เมตร แต่ขายได้วันละเป็นหมื่น นี่คือโมเดลของ "แซ่บเศรษฐี" แบรนด์ร้านอาหารอีสานที่เริ่มจากแบรนด์ "แซ่บปางตาย" เปิดร้านขายตามตลาดนัด ปัจจุบันได้ยกระดับมาสู่การเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ร้านอาหารอีสานที่ได้รับความนิยมหน้า 7-Eleven มีสาขามากถึง 30 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 
 
จุดเริ่มของแฟรนไชส์ "แซ่บเศรษฐี" มาจาก "คุณตุ๊กตา - พรศิริ บงพันธ์แก้ว” ซึ่งเป็นคนอีสานแท้ๆ มองว่าอาหารอีสานขายง่าย รู้ว่ารสชาติแบบไหน "ถึงใจ" คนไทย จึงเลือกทำเมนูส้มตำ ยำ และเมนูอีสานต่างๆ รสชาติเผ็ดจัดจ้าน
 
ก่อนจะมาเป็นร้านอาหารอีสานแซ่บเศรษฐีในวันนี้ คุณตุ๊กตาเปิดร้านแซ่บปางตายมาก่อน ตั้งแต่ปี 2550 เป็นร้านอาหารอีสานแนวเดียวกัน มีจำนวน 15 สาขา จับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย วัยรุ่น คนทำงาน อายุ 15-40 ปี ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก สามารถทำยอดขายพุ่งกระฉูด มีกำไรเฉลี่ย 200,000 บาท/สาขา
 
แต่ด้วยข้อจำกัดของแบรนด์แซ่บปางตายในเรื่อการทำโฆษณา ยิงแอดฯ ทางโซเชียลฯ ทำให้ในปี 2558 ต้องรีแบรนด์เป็น “แซ่บเศรษฐี” เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ดูสะอาด เรียบร้อย เน้นความเป็น “อาหารครอบครัว” มากขึ้น
 
 
คอนเซ็ปต์ของร้านแซ่บเศรษฐี คือ ชื่อเป็นมงคล รสชาติเป็นเอกลักษณ์ ราคาจับต้องได้ เมนูเริ่มต้น 35 บาท มีให้เลือกมากกว่า 80 เมนู เช่น ตำปลาร้า ตำแตง ตำไทย ตำหมูยอ ตำไทยไข่เค็ม ยำปูม้า ยำแซลมอนกุ้งสด ยำเศรษฐี ยำปลาหมึก เกาเหลาปูม้า เกาเหลาปลาหมึก กะเพราทะเลรวม กะเพรากุ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย
 
ทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ ใช้ของไทย 100% น้ำยำหมักจากครัวกลาง เพื่อให้สามารถควบคุมรสชาติได้ถึง 90% ในทุกสาขา ภายใต้กลยุทธ์สำคัญ “คุณภาพร้านเทียบเท่าร้านในห้าง แต่ราคาถูกกว่าครึ่ง”
 
หลังจากรีแบรนด์เป็นแซ่บเศรษฐีในปี 2558 คุณตุ๊กตาได้บริหารจัดการร้านเองจนถึงปี 2561 หลังจากนั้นเริ่มปรับเปลี่ยนโมเดลขยายสาขารูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ แต่กลับต้องมาเจอปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทำให้โมเดลการขยายสาขาแฟรนไชส์ต้องดร็อปเอาไว้ก่อน 
 
ต่อมาในปี 2564 แซ่บเศรษฐีถึงมาดำเนินการขยายแฟรนไชส์แบบจริงจัง พอมาปลายปี 2566 ขยายทำเลมาเปิดหน้า 7-Eleven ได้สำเร็จจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 30 สาขา และกำลังเตรียมเปิดอีก 20 สาขา  
 
 
ตั้งเป้าไว้ภายในปี 2569 แฟรนไชส์แซ่บเศรษฐีจะมี 60 สาขา และภาย 3 ปี 100 สาขา ส่วนสาขาหน้า 7-Eleven คิดเป็นสัดส่วน 80% ของสาขาทั้งหมด ที่เหลือเป็นหน้าโลตัส ซีเจ และตลาดตามชุมชนต่างๆ
 
โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์แซ่บเศรษฐี ใช้พื้นที่ 9 ตร.ม. เปิดร้านขายหน้า 7-Eleven มีค่าเช่าเฉลี่ย 10,000 บาท/เดือน (ขึ้นอยู่กับทำเล) ถ้าทำเลร้าน 7-Eleven อยู่ในตัวเมืองจะแพง 
 
คุณตุ๊กตาเคยสำรวจมาแล้วว่า ค่าเช่าแพงมักจะเป็นทำเลที่ขายดี 
 
เธอเคยลองเช่าราคาถูก 4,000 บาท/เดือน แต่ขายไม่ได้เลย ขายได้วันละ 2,000 กว่าบาท จากที่เคยขายได้วันละ 7,000 กว่าบาท พอเปลี่ยนมาทำเลค่าเช่า 10,000 กว่าบาท ขายได้วันละ 7,000-15,000 บาท 
 
สรุปก็คือ ทำเลถูกหรือแพง ให้มองกันที่ยอดขาย หากทำเลนั้นถูก สร้างยอดขายไม่ได้ ถือว่าทำเลนั้นแพง ถ้าทำเลที่ค่าเช่าแพง แต่สร้างยอดขายได้ ถือว่าทำเลนั้นถูก
 
แฟรนไชส์แซ่บเศรษฐี ใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 390,000 บาท/สาขา
  • ทางแบรนด์มีครัวกลางให้ เพื่อรสชาติมาตรฐานเดียวกัน 
  • ฝึกอบรม 2 สัปดาห์ พร้อมสูตรจากครัวกลาง
  • นักลงทุนไม่ต้องบริหารเอง (ในกรณีลงทุนร่วม)
  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,000 - 80,000 บาท/สาขา
สิ่งที่แบรนด์แฟรนไชส์ "แซ่บเศรษฐี" ให้ความสำคัญมากที่สุดในการเปิดรับแฟรนไชส์ซี คือ Mindset ของนักลงทุน “มีเงินไม่พอ ต้องเข้าใจธุรกิจว่ามีความเสี่ยง ต้องพร้อมลุย แก้ปัญหาเป็น พร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา”
 

 
เป้าหมายในอนาคตของแฟรนไชส์แซ่บเศรษฐี 
  • ปี 2569 เปิดสาขาครบ 100 สาขา และเริ่มขยายไปต่างจังหวัด
  • คาดว่าไตรมาสที่ 2 หรือช่วงกลางปี 2569 แซ่บเศรษฐีอาจมีโปรเจ็คต์เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าร่วมลงทุนแฟรนไชส์กว่า 100 สาขา โดยที่แบรนด์เป็นผู้บริหารจัดการร้านให้ทั้งหมด สมมติค่าลงทุนอยู่ที่ 390,000 บาท ให้นักลงทุนจ่าย 300,000 บาท/สาขา จ่ายครั้งเดียว รับส่วนแบ่ง 40% ภายใต้อัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 - 30,000 บาท/สาขา  
  • ปี 2570-257 ขยายสู่ 300 สาขาในกทม.และปริมณฑล 
วิเคราะห์โมเดลแฟรนไชส์ "แซ่บเศรษฐี" น่าสนใจยังไง
  • ใช้พื้นที่ขนาดเล็ก แต่ทำยอดขายได้สูง
  • ทำเลดี ขายดี แม้เช่าแพง
  • ครัวกลางควบคุมรสชาติได้
  • อาหารอีสาน “กินซ้ำ” ลูกค้ากลับมาเรื่อยๆ
  • คืนทุนไว 8-12 เดือน
  • กรณีร่วมลงทุนกับแบรนด์ กินเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องบริหารเอง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลา แต่มีเงิน
  • สาขาหน้า 7-Eleven ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผ่านแอปฯ ของ 7-Eleven ได้เลย จะมีเมนูให้ลูกค้าเลือกเหมือนสั่งสินค้าใน 7-Eleven ทุกอย่าง แต่ทางร้านแซ่บเศรษฐีจะเป็นการทำสดใหม่ 

ภาพจาก www.facebook.com/zapsetthee
 
ลงทุนแฟรนไชส์ “แซ่บเศรษฐี” คืนทุนเมื่อไหร่ 
  • งบลงทุน 390,000 บาท
  • ยอดขายเฉลี่ยแต่ละสาขาต่อวัน 5,000 บาท
  • ต้นทุนเฉลี่ยต่อวัน ค่าวัตถุดิบ 2,500 บาท + ค่าแรง 2 คน 1,000 บาท เหลือ 3,500 บาท 
  • หักต้นทุน 5,000-3,500 บาท เหลือ 1,500 บาท
  • หักค่าเช่าวันละ 500 บาท เหลือ กำไร 1,000 บาท/วัน
  • กำไรเฉลี่ยต่อเดือน: 30,000 บาท/สาขา
  • คืนทุนภายใน 12-14 เดือน 
  • ระยะเวลาสัญญา 3+3 ปี 
แต่อย่างไรก็ตาม จุดที่นักลงทุนต้องระวัง ก็คือ 
  • ถ้าทำเลไม่ดี ยอดขายต่ำ กำไรอาจไม่พอ
  • ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องมีวินัย คิดให้เป็นระบบ แก้ปัญหาเป็น 
  • ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องเข้าใจว่าธุรกิจอาหาร “ไม่ใช่เสือนอนกิน” แม้ว่าคนต้องกินต้องใช้ โดยเฉพาะวันฝนตกยอดขายก็ตกไปด้วย 
สุดท้าย ฝากไปถึงนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ว่า “เงินลงทุนอาจซื้อแฟรนไชส์ได้ แต่จะอยู่รอดได้ ต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้วย ถ้ามี Mindset ดี และมีทำเลดี จะทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตมหาศาล”
 
นี่คือโมเดลร้านอาหารอีสาน ที่กำลังขยายแบบรวดเร็วที่สุดในไทยตอนนี้ "แซ่บเศรษฐี" จะกลายเป็นแฟรนไชส์ 100 สาขาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คุณคิดว่า พร้อมจะลงทุนหรือยัง 

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 แซ่บเศรษฐี
อาหารไทยเป็นเมนูขายดี มีลูกค้าทั้งที่เป็นชาวไทยและต่างชาติ เสน่ห์ของอาหารไทยคือรสจัดจ้าน โดยเฉพาะส้มตำและยำต่างๆ ถึงแม้จะเป็นธุรกิ...
ค่าแฟรนไชส์ 390,000 บาท
บทความค้าขายมาใหม่
บทความอื่นในหมวด