บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
410
3 นาที
22 กรกฎาคม 2568
ร้านทุกอย่าง 20 บาท ยุคนี้ ไปต่อไหวมั้ย?
 

ย้อนไปสักประมาณ 10 กว่าปีก่อน “ร้านสินค้าราคาเดียว” (One-Price Shop) เป็นที่พูดถึงมาก เรียกว่าตอนนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูก็ว่าได้ โดย Daiso เป็นเจ้าแรกๆที่เริ่มธุรกิจนี้ในปี 2546 จากนั้นธุรกิจก็เริ่มเติบโตมาเป็นลำดับ และเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น 
 
เช่น Komonoya, Just Buy, Miniso และ Moshi Moshi รวมถึงอีกหลากหลายแบรนด์ทั้งที่เป็นรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งก็มีการพัฒนาทั้งขยายสาขาเองหรือบางแบรนด์ก็สร้างระบบแฟรนไชส์เพื่อขยายสาขาเพิ่มขึ้น
 
แต่ในความเป็นจริงคำว่าร้านทุกอย่าง 20 บางทีก็เป็นแค่กลยุทธ์ทางตลาด เดินเข้าไปในร้านบางทีก็เจอสินค้าที่ราคาแพงกว่านั้น คำว่า 10 , 20 หรือ 60 บางทีก็เป็นแค่ราคาสินค้าเริ่มต้น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจนี้คือสินค้าในร้านมีราคาประหยัดกว่าถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ รวมถึงการมีสินค้าให้เลือกเยอะมาก 
 
 
หัวใจของธุรกิจแนวนี้คือใช้กลยุทธ์ “กำไรน้อย แต่ขายเยอะ” ถ้าลองไปวิเคราะห์ดูว่าทำไมธุรกิจนี้ถึงเติบโตจะพบว่ามีหลายเคล็ดลับที่น่าสนใจเช่น
  1. เล่นกับอารมณ์คนซื้อ โดยใข้ราคาเป็นตัวนำ เพราะพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ซื้อสินค้าอย่างเดียวแต่จะเลือกซื้อหลายอย่างยิ่งเห็นว่าราคาไม่แพงก็ยิ่งซื้อมากขึ้น
  2. ใช้เทคนิคการคำนวณต้นทุนเฉลี่ย ยอมขาดทุนในสินค้าบางรายการเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านและหวังขายสินค้าตัวอื่นได้มากขึ้น
  3. จัดหมวดหมู่สินค้าให้เลือกง่าย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในการแยกหมวดหมู่เช่นเครื่องมือช่าง , ของเล่น , เครื่องเขียน , อุปกรณ์ครัว , ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น
  4. การบริหารสต็อคสินค้าอย่างมีระบบ มีการหมุนเวียนสินค้าที่รวดเร็ว มีความถี่สูง จัดหาสินค้าตามกระแสที่คนกำลังต้องการได้อย่างทันที
จากข้อมูลพบว่าร้านสินค้าราคาประหยัดเหล่านี้ต่อสาขาต่อเดือนมียอดลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 คน มีการใช้จ่ายต่อบิลไม่ต่ำกว่าครั้งละ 200 บาท นั่นหมายความว่ายังถือเป็นธุรกิจที่น่าพอใจและยังเติบโตได้  
 
 
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจซบเซาหนัก ต้นทุนสินค้าพุ่งสูง กำลังซื้อของคนลดลงชัดเจน ถามว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีผลต่อธุรกิจเหล่านี้มากแค่ไหน ไปดูผลสำรวจที่น่าตกใจระบุว่า 
  • ร้อยละ 51.01 ต้องใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือนและต้องระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น 
  • ร้อยละ 82.94 บอกว่าทุกวันนี้ค่าครองชีพสูงไม่กล้าใช้สอย เครียดปัญหาหนี้สิน 
  • ร้อยละ 33.62 ช็อปปิ้งน้อยลง ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น
  • ร้อยละ 15.23 เน้นการเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนเลือกซื้อ
แม้แต่ผู้ประกอบการเองก็รู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ลำพังแค่เงินเดือนก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ค่าเช่าเช่าบ้าน , ค่าเดินทางไปทำงาน , ค่าน้ำค่าไฟ , ค่าเทอม  ฯลฯ  
 
ถ้าไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายก็จะพาตัวเองและครอบครัวไปเจอวิกฤติการเงินตัวเลขเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นภาพรวมชัดเจนว่าธุรกิจก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค แม้จะเป็นร้านสินค้าราคาประหยัด ถ้ายังอยากอยู่รอดต่อไปก็ต้องมีอะไรที่ดึงดูดลูกค้าได้
 
คำว่า “จะไปต่อไหวมั้ย” ของร้านสินค้าราคาประหยัด ปัญหาจึงอยู่ที่การบริหารจัดการของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ 
 
ยกตัวอย่างบางร้านที่บอกว่าไปต่อไม่ไหว เพราะบอกว่าลงทุนไปหลักล้าน หวังว่าจะขายดี ตั้งใจจะขายทั้งหน้าร้าน ขายปลีก ขายส่งไปพร้อมกัน แต่ดันไม่เป็นอย่างที่คิด ขายได้เฉลี่ยแค่วันละ 500 – 1,000 มีบ้างที่ยอดขายถึง 2,000 แต่ก็ไม่ใช่ทุกวัน มาเจอกับค่าเช่าที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ และจิปาถะหักลบกลบหนี้คือทุนหายกำไรหด ไปต่อไม่ไหว
 
 
ถ้าลองเอาตัวเลขของร้านสินค้าราคาประหยัดมาวิเคราะห์ ถ้าจะให้ไปไหว ร้านก็ควรจะมีต้นทุนประมาณ 15-25% ของยอดขาย ต้นทุนสินค้าเฉลี่ยประมาณ 13-17 บาท(ในกรณีขายสินค้าราคา 20 บาท) ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่า ค่าแรง ไม่ควรเกิน 30-40% ของยอดขาย ถ้าบริหารจัดการได้ดีทำให้ร้านมีกำไรเฉลี่ย 25-30% ก็จะเป็นธุรกิจที่ไปต่อได้ 
 
ถ้าเทียบเป็นตัวเลขให้ชัดๆ รายได้ที่พอไหวให้อยู่รอดของร้านสินค้าราคาประหยัด (ร้านขนาดเล็ก) ควรมียอดขายประมาณ 3,000 – 4,000 บาท ซึ่งถ้ายอดขายน้อยกว่านี้อาจมีความเสี่ยงที่จะไปต่อไม่ไหวในอนาคต
 
คำว่าระบบบริหารจัดการที่ดีคือหัวใจของร้านสินค้าราคาประหยัด ดูได้จากร้านประเภทนี้ที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ยังมีอัตราการเติบโตและยอดขายดีมาก ยกตัวอย่าง MR. D.I.Y. ที่สินค้าในร้านก็มีหลายราคาแต่เน้นความประหยัด หาซื้อสินค้าได้ง่าย 
 
ปี 2566 มีรายได้ 12,832 ล้านบาท กำไร 1,381 ล้านบาท ครึ่งปี 2567 มีรายได้ 7,567 ล้านบาท กำไร 794 ล้านบาท
 
 
ทุก ๆ ยอดขาย 100 บาท หักต้นทุนขาย อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายวัตถุดิบ ค่าขนส่งสินค้า เหลือเป็นกำไรขั้นต้น 48 บาท
 
และกำไรขั้นต้น 48 บาทหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าที่ และค่าการตลาด เหลือเป็นกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 16 บาท หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างดอกเบี้ย และภาษีเงินได้แล้ว จะเหลือกำไรประมาณ 11 บาท 
 
และอีกหลายร้านค้าในธุรกิจประเภทนี้ที่ยังเติบโตได้เพราะมีวิธีบริหารจัดการที่ดี อย่างร้าน Daiso ในปีที่ผ่านมาทำรายได้ 853 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท หรือ MINISO ทำรายได้ที่ 1,158  ล้านบาท กำไร 35 ล้านบาท เป็นต้น
 
ส่วนในมุมของร้านขนาดเล็กเองถ้าหวังจะอยู่รอดไม่ใช่แค่ขึ้นป้ายว่า “ทุกอย่าง 20” แล้วจะรอด นอกจากการบริหารต้นทุนที่ดี เรื่องของการจัดวางสินค้าในร้านก็สำคัญ ข้อแนะนำคือต้องเน้นขายทุกอย่าง มีทุกราคา ทั้งเกรด A เกรด B เกรด C เน้นความหลากหลายเพื่อเอาใจลูกค้าให้มากที่สุด 
 
 
เป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลไหนก็ควรมีสินค้าที่เหมาะสมกับทำเลนั้น เช่น หน้าโรงเรียนก็ต้องเน้นพวกอุปกรณ์การเขียน ให้เยอะ หรืออยู่ในท้องถิ่นที่มีการเกษตรก็ควรมีอุปกรณ์การเกษตรขายในร้าน สินค้าในร้านไม่เน้นเยอะ แต่เน้นครบ อะไรที่ยังไม่มีต้องรีบหามาขาย วิธีการจัดวางก็สำคัญอย่าทำให้ร้านดูโล่งเพราะจะไม่น่าสนใจ 
 
วิธีวางสินค้า จัดวางเชลล์ขายของต้องให้ลูกค้ารู้สึกอยากเดินเข้ามาในร้าน ถ้าเดินเข้ามาแล้วสินค้าต้องติดมือออกไปสัก 1-2 ชิ้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าพอใจสำหรับการขายของร้านสินค้าราคาประหยัดที่มีขนาดเล็ก
 
และที่อย่าลืมเด็ดขาดคือร้านสินค้าราคาประหยัดอย่าไปคิดแข่งสงครามราคาเด็ดขาด เพราะราคาสินค้ามันก็ถูกอยู่แล้ว ถ้าไปตัดราคาคู่แข่ง ผู้ประกอบการจะไม่ได้ประโยชน์อะไร 
 
แม้ยอดขายจะเพิ่มแต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นแน่ ดังนั้นวัดกันที่คุณภาพสินค้า + การบริหารจัดการ+ จัดร้านแต่งร้าน  บางร้านอาจเพิ่มการขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมด้วยจะเป็นวิธีอยู่รอดของร้านสินค้าราคาประหยัดที่ถูกต้องมั่นคงได้แท้จริง
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สร้างรายได้จาก กระเบื้องยางSPC วัสดุปูพื้นยอดนิย..
517
ประกาศเซ้ง! แบรนด์แฟรนไชส์จีนหมดแรง แซงไทยไม่ไหว
437
ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?
430
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป
405
รวมเทคนิค “ดิ้นสู้” วิกฤติร้านอาหารปี 2568 ทำยัง..
389
“Gap Model” ร้านค้าทำดีทุกอย่าง แต่ทำไมลูกค้าไม..
386
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด