บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
1.9K
3 นาที
19 มกราคม 2564
เปิด 5 สูตรใช้เงินช่วง COVID 19! ชีวิตไม่เครียด
 

นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ COVID 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมาหลายคนเริ่มกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่น้อยลง แต่มีรายจ่ายที่เท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้น ชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่หาเช้ากินค่ำไม่ได้มั่งมีเงินทองเหมือนบรรดานักการเมืองและเศรษฐีทั้งหลายจึงอยู่ในภาวะ “เครียด” คิดกันให้หัวแทบแตกว่าเราจะหาเงินจากไหน เราจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย จากนี้เราจะใช้เงินอย่างไร

www.ThaiFranchiseCenter.com รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้ทำให้คนเราเครียดเพิ่มมากขึ้น และด้วยเหตุนี้เราจึงมี 5 สูตรการใช้เงินช่วง COVID 19 มาฝากซึ่งอาจไม่ใช่วิธีที่ทำให้ทุกคนลืมตาอ้าปากมีเงินใช้ในทันที แต่วิธีนี้เหล่านี้จะช่วยให้การใช้เงินของเรามีระบบมากขึ้น และอาจช่วยให้เครียดน้อยลงกว่าเดิมได้บ้าง
 
สูตร 50 : 30 : 20 (ในสถานการณ์ปกติ)
 

ในสถานการณ์ปกติที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID 19 สูตรการเงินที่ใช้กันส่วนใหญ่คือ 50 : 30 : 20 โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่คือ
  • 50% คือ เงินใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าอยู่ ค่ากิน จ่ายหนี้ต่างๆ ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถบัตรเครดิต
  • 30% คือ เงินเพื่อใช้สร้างความสุขให้ตัวเองเช่น ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
  • 20% คือ เงินเก็บออมและลงทุน โดยแบ่งเป็นก้อนๆ ตามเป้าหมาย เช่น เก็บเพื่อฉุกเฉิน เก็บซื้อบ้าน เป็นต้น
เช่นถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 แบ่งตามสัดส่วนข้างต้นจะมีเงินใช้จ่ายประจำเดือน 10,000 บาท เงินใช้ส่วนตัว 6,000 บาท และเงินสำหรับลงทุน 4,000 บาท ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนมีปัจจัยในการดำรงชีวิตไม่เหมือนกันวิธีนี้ก็ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพ บางคนอาจบอกว่าเงินแค่ 6,000 ใช้จ่ายส่วนตัวไม่พอหรอก หรือบางคนบอกรายจ่ายประจำเดือนก็มีเกิน 10,000 แล้ว อันนี้ก็ต้องเอาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันเอง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเพราะมีการแพร่ระบาดของ COVID 19 สูตรนี้ก็จำเป็นต้องเอามาปรับใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัยเช่นกัน
 
เปิด 5 สูตรใช้เงินช่วง COVID 19
 
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID 19 การหาเงินเป็นเรื่องที่ยากมาก รายได้ก็หดหาย ทางที่ดีที่สุดคือฝึกใช้เงินอย่างเป็นระบบโดยมี 5 สูตรที่น่าสนใจคือ
 
1.สูตร 60 : 30 : 10
 

รายจ่ายของคนในยุค COVID 19 สูงขึ้นจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นสูตรการเงินในช่วงนี้จึงควรเป็น 60 : 30 : 10 โดย 60% คือเงินใช้จ่ายประจำเดือน โดยในช่วงนี้เรามักมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกับอุปกรณ์ป้องกันสุขภาพต่างๆ เช่น เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอลล์ รวมถึงเงินส่วนนี้ยังต้องนำไปใช้ชำระหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเราจึงควรมีเงินส่วนนี้มากที่สุดในแต่ละเดือน
 
30% คือ เก็บเพื่อฉุกเฉิน ในช่วงปกติ เงินส่วนนี้จะเป็นเงินเพื่อใช้สร้างความสุขให้ตัวเอง แต่ในภาวะวิกฤติ คงไม่สามารถไปท่องเที่ยวหรือทานอาหารนอกบ้านได้ จึงควรเปลี่ยนเป็นเงินเก็บเพื่อเตรียมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น กรณีเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาโรงพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ
 
 10% คือ เงินเก็บออม โดยลดจำนวนลง เช่น จากเดิมเคยเก็บ 5,000 บาทต่อเดือน อาจเหลือ 2,500 บาทต่อเดือน หรือถ้ารู้สึกว่าเงินตึงเกินไปก็เหลือเดือนละ 1,000 บาทก็ได้ 
หากใช้สูตร 60 : 30 : 10 ในช่วง COVID-19 แปลว่า มีเงินไว้ใช้จ่ายถึง 60% ของรายได้ แถมยังมีเงินสำรองเพื่อเตรียมไว้ใช้อีก 30% พูดง่ายๆ เงินที่เตรียมไว้ใช้จ่ายมีสูงถึง 90%
 
2.สูตร “เข้าร่วมทุกโครงการกับภาครัฐ”
 
ภาพจาก bit.ly/3bYmRc5

เป็นสูตรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเก็บเงินแต่ “การเข้าร่วมในทุกโครงการของภาครัฐ” ก็ทำให้เรามีสถานะการเงินที่ดีขึ้นในระดับหนึ่งได้ เช่นคนที่ต้องชำระหนี้ค่าบ้าน ก็อาจจะเข้าโครงการของสถาบันการเงินในการลดดอกเบี้ย ลดเงินต้น ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะทำให้เรามีภาระในการจ่ายหนี้ น้อยลงและทำให้เรามีเงินเหลือในบัญชีมากขึ้น

แม้บางทีการพักชำระหนี้หรือลดภาระหนี้จะทำให้เราต้องเป็นหนี้ในระยะยาวมากขึ้น แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องหาเงินมาเสริมสภาพคล่องของตัวเองให้ได้ก่อน หรือบางสถาบันการเงินที่เขาเปิดโอกาสให้กู้ยืมแบบดอกเบี้ยต่ำ หากเราจะเข้าร่วมในโครงการดังกล่าวก็สามารถทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาในอนาคตด้วย
 
หรือที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างโครงการ “คนละครึ่ง” ก็ทำให้เราจับจ่ายสินค้าได้สะดวกมากขึ้นแม้จะเหมือนกับเป็นการใช้เงินตัวเองจ่ายผ่านแอปพลิเคชั่น แต่เราก็จะจ่ายราคาสินค้าได้ถูกลง เหมาะกับการซื้อสินค้าราคาไม่แพง เป็นสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไป เช่นอาหาร ผงซักฟอก เครื่องดื่ม กับข้าวสำเร็จรูปต่าง ๆ เป็นต้นการใช้จ่ายในโครงการนี้ทำให้เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเงินสดในกระเป๋ามากนัก
 
3.สูตร 40-30-10-10-5-5
 

เป็นสูตรที่แบ่งอย่างละเอียดในการใช้เงินโดยกระจายออกเป็น 5 กลุ่มคือ ค่าใช้จ่ายเพื่อการอยู่อาศัย 40% ค่าอาหาร และค่าเสื้อผ้า 30% ค่าเดินทาง 10% เก็บออม 10% ค่าใช้จ่ายเพื่อการพักผ่อนและความบันเทิง 5% และค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ 5%
 
เช่นถ้ามีเงิน 15,000 บาท จะสามารถใช้จ่ายค่าเช่าห้อง ผ่อนคอนโดฯ รวมน้ำ ไฟ ค่าโทรศัพท์ และของใช้ภายในบ้านได้ไม่เกิน 6,000 บาทต่อเดือน (40%) เป็นค่าอาหารและค่าเสื้อผ้าได้ไม่เกิน 4,500 บาทต่อเดือน (30%) หมดเงินกับค่ารถในการเดินทางไปทำงานได้ไม่เกิน 1,500 บาทต่อเดือน (10%) ควรเก็บออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน (10%) หากเจ็บป่วย ต้องการซื้อยา หรือหาหมอก็ต้องไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน (5%) ซึ่งในบางกลุ่มอาจดูเป็นตัวเลขที่น้อยเช่น 5% เพื่อสุขภาพเราอาจมีการโยกในส่วนอื่นมาเสริมในส่วนนี้ได้ อย่างน้อยไม่ใช่สูตรนี้โดยตรงแต่ก็เป็นการฝึกใช้เงินอย่างมีระบบได้เช่นกัน
 
4.สูตร 20:45:35
 

อีกหนึ่งสูตรสำหรับการฝึกใช้เงินอย่างมีระบบ แต่วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่ยังพอมีรายได้หรือมีรายได้สูงโดยแบ่งเป็น 20:45:35 
  • 20% คือเงินออม 
  • 45% รายจ่ายจำเป็น 
  • 35% คือรายจ่ายในชีวิตประจำวัน
วิธีนี้จะทำให้เราวางแผนการออมเงินและการใช้ชีวิตในแต่ละเดือนได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีหักเปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีจะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละเดือนเราจะต้องมีเงินใช้จำนวนเท่าไหร่ และยังเป็นวิธีที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีรายจ่ายจำเป็นที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนอีกด้วย 
 
5.สูตร “Okosukai”
 

เป็นวิธีที่เล่ากันว่ามีในประเทศญี่ปุ่นต้นศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคของซามูไร โดยภรรยาของซามูไรได้เก็บซ่อนเงินไว้ทีละน้อยเป็นเวลาหลายปี จนสะสมได้มากพอและนำไปซื้อม้าชั้นดีให้กับสามีใช้ออกรบ จนกลายเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น หรือจะให้พูดชัดๆ วิธีแบบ Okosukai ก็คือ “เก็บลืม” หรือเก็บให้พ้นหูพ้นตาไม่ไปยุ่งกับมันอีกรวมถึงไม่ให้คนในบ้านรู้ว่ามีอยู่หรือรู้ว่าเก็บที่ไหน

ซึ่งหลักคิดแบบ "เก็บลืม" เช่นนี้ ช่วยให้ "เก็บเงินอยู่" ได้จริง ๆ ถามว่าวิธีนี้มันเกี่ยวอะไรกับยุค COVID 19 ปัญหาสำคัญตอนนี้คือจะใช้เงินอย่างไรให้อยู่รอด แต่ความจริงแล้ววิธีแบบ Okosukai มันจะได้ผลมากหากเราได้รู้จักวิธีนี้ก่อนเกิดวิกฤติ COVID 19 และใช้วิธีนี้มาเรื่อยๆ ถ้าใครทำได้เชื่อว่าตอน COVID 19 น่าจะมีเงินที่ “เก็บลืม” มาใช้ต่อลมหายใจได้อย่างดี แต่ถ้าเริ่มวิธีแบบ Okosukai ตอนนี้ก็คงจะไม่ทำให้ชีวิตตอนนี้ดีขึ้น

แต่ในอนาคตเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราไม่เก็บเงินเอาไว้บ้างตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตข้างหน้าอาจมีวิกฤติที่หนักกว่า COVID 19 แล้วถึงตอนนั้นเราจะทำอย่างไรถ้าไม่มีเงินเก็บ วิธีแบบ Okosukai จึงเป็นการทำเพื่ออนาคตมากกว่าปัจจุบัน ยิ่งสถานการณ์ในโลกยุคนี้ไม่มีอะไรแน่นอนวิธีนี้จึงยิ่งสำคัญมากและควรนำไปใช้ถึงเวลาที่ต้องใช้จริงๆ จะรู้สึกขอบคุณตัวเองมากๆ ที่เริ่มเก็บเงินเอาไว้
 
สูตรการเงินเหล่านี้คงมีคนอีกไม่น้อยที่จะย้อนแย้งว่า “ทำได้จริงหรือ” “แบ่งแบบนี้มันโลกสวย ทำไม่ได้หรอก” เราก็เชื่อเช่นนั้นว่าทุกคนไม่สามารถใช้สูตรการเงินนี้ได้ แต่นี่คือแนวทางสอนให้รู้จักวิธีการใช้เงินอย่างมีระบบ ไม่ใช่ใช้เงินสะเปะสะปะ รายจ่ายต่อเดือนมีอะไรเท่าไหร่ ไม่รู้ อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การใช้เงินอย่างมีระบบก็จะช่วยทำให้สถานะการเงินเราชัดเจนขึ้น แม้บางทีอาจไม่ถึงขั้นดีกว่าเดิมก็ตาม
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/index.php
 
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
563
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
470
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
415
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
375
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
373
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
361
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด