นายปรีชา เลาหพงษ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง นโยบายในการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ขนมไทยสู่สากล ว่า ขนมไทยถือว่ามีศักยภาพ ทั้งในเรื่องของรสชาติ และความมีเอกลักษณ์ในตัวสูง หากได้รับการสนับสนุนให้ขนมไทยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติให้มากขึ้น เชื่อได้ว่าจะเป็นโอกาสดีของไทยในการเผยแพร่วัฒนธรรม และส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวได้ไปในตัว 
 

 

 

ทั้งนี้ขนมไทยในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากนัก เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้น ควรกระตุ้นในจุดขายต่างๆ ของขนมไทย ให้มีการสาธิตการทำขนมนั้นๆ ตามจุดขายด้วย พร้อมกับการทดลองชิม เพื่อทำให้ขนมไทยมีคุณค่า และน่ารับประทานมากขึ้น 

 

“ขนมไทยมีศักยภาพในการจำหน่ายออกสู่ตลาดสากลได้ไม่ยาก เนื่องจากมีคุณภาพดี และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตัวเอง แต่ผู้ผลิตควรที่ลดความหวานของขนมลงบ้าง เพื่อทำการเจาะตลาดใสต่างประเทศได้ง่ายถึง เนื่องจากในปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากมีการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว จะทำให้ลู่ทางการทำแฟรนไชส์ร้านขนมไทย เช่น ร้านขนมครก ขนมเบื้อง และลูกชุบ มีโอกาสที่สดใส” รมต.ช่วยพาณิชย์ กล่าว 
 

 

 

สำหรับการนำร่องการขายแฟรนไชส์ขนมไทย ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ ได้เริ่มสร้างแฟรนไชส์ร้านขนมครก และขนมเบื้อง ก่อน เนื่องจากมีสูตรสำเร็จและสามารถสาธิตการทำ ณ จุดขาย ได้ รวมทั้งขนมทั้ง 2 ชนิดนี้ได้เริ่มเป็นที่รู้จักของประเทศในแถบเอเชียมาบ้างแล้ว เพราะมีผู้ประกอบการหลายรายได้มีการ ไปสาธิตการทำขนมดังกล่าวในแถบเอเชียอยู่แล้ว ส่งผลให้ลู่ทางการทำการตลาดเป็นเรื่องไม่ยาก 

 

“เราอย่ามองว่าขนมไทย เป็นเพียงแค่องค์ประกอบ แต่จริงๆ แล้วขนมไทยสามารถไปสู่ตลาดสากลได้ ซึ่งควรจะเริ่มต้นที่คนไทยเองต้องชื่นชอบการรับประทานขนมไทยก่อน ซึ่งจะทำให้ชาวต่างชาติรู้จักและยอมรับขนมไทยมากขึ้น และจะเป็นการต่อยอดไม่เพียงแต่แฟรนไชส์ร้านขนมไทยที่จะเติบโตได้เท่านั้น แต่จะทำให้ผู้ประกอบการร้านขนมไทย สามารถขายขนมสำเร็จรูปได้ หรืออาจเป็นการส่งวัตถุดิบ ไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้อีกด้วย” นายปรีชา กล่าว 

 

นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวต่อว่า หากผู้ประกอบการายใดคิดที่จะเติบโตในธุรกิจขนมไทยนี้ ควรสร้างเครื่องหมายการค้าให้แข็งแกร่ง เพื่อความจดจำของลูกค้า และในอนาคตเมื่อเครื่องหมายการค้าเป็นที่จดจำแล้ว ผู้ประกอบการอาจจะประสบความสำเร็จใน การขายเครื่องหมายการค้าเพียงอย่างเดียว เหมือนบริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศได้ 

 

 

 

 

 

ที่มา: นสพ.ผู้จัดการ