นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป เคเอฟซี บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้พันธมิตรใหม่ที่เป็นผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์เคเอฟซีอีก 1 ราย คือ บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด

ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนไทยเต็มรูปแบบ ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเกิดจากการร่วมทุนของผู้ลงทุนทั้งไทยและอาเชียน โดยกองทุนอาเซียนอินดัสเตรียลโกรธ์ฟันด์ หรือเอไอจีเอฟ ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่น 

 

เนื่องจากเห็นว่าบริษัทดังกล่าวมีศักยภาพในการลงทุนสูง พร้อมทั้งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์แบบมืออาชีพในธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนในระดับภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างการเติบโตให้แบรนด์เคเอฟซีในประเทศไทย

ดังนั้นจึงจะเข้ามาช่วยขยายสาขาของเคเอฟซีให้ได้ตามเป้าหมาย 800 สาขาทั่วประเทศในปี 2563 จากก่อนหน้านี้บริษัทมีพันธมิตรที่เป็นแฟรนไชส์เพียงรายเดียวคือ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี) ซึ่งร่วมขยายสาขามานานกว่า 31 ปี และในปีนี้จะมีสาขารวมที่ 585 สาขา เป็นของซีอาร์จี 217 สาขา และที่เหลือเป็นของบริษัท
 

 

“บริษัทต้องการหาพันธมิตรมาช่วยเร่งการขยายสาขา และต่อจากนี้เราก็ละจำนวนการขยายด้วยตัวเองลง และให้ร้านแฟรนไชส์ขยายกันไปต่อ ซึ่งตามแผนก็คงต้องขยายอีก 215 สาขา และใช้งบลงทุนสาขาละ 15-30 ล้านบาท หรือประมาณ 3,000-6,000 ล้านบาท

ในอีก 4 ปีข้างหน้า”นางแววคนีย์ กล่าวและว่า แม้ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนเติบโตที่ชะลอตัว แต่เคเอฟซียังเติบโตมากกว่าภาพรวม และพัฒนาด้านนวัตกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการซื้อเคเอฟซี หรือปริมาณการขายอยู่ที่ 3.5 แสนมื้อต่อวัน

 

 ด้านนายแอนดรูว์ นอร์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด กล่าวว่า เบื้องต้นบริษัทได้เข้าซื้อร้านสาขาของเคเอฟซีจากทางบริษัทยัมฯ จำนวน 130 สาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคใต้มาบริหารก่อน

จากนั้นมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 100 สาขาภายในปี 2563 เนื่องจากบริษัทเห็นความสำเร็จทางธุรกิจล่าสุด เคเอฟซี ประเทศไทยยังคงครองความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน ด้วยการเป็นแบรนด์ที่ครองสัดส่วนจำนวนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าและบริการอยู่ที่ 65%ของตลาดร้านอาหารบริการด่วน 

อ้างอิงจาก  khaosod.co.th