2.1K
7 สิงหาคม 2558
ไอบริก-BMIชี้ทางลัดSMEsไทยสู่ตลาดโลก


เมื่อเร็วๆนี้ โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท บริษัท ไอบริก จำกัด ร่วมกับ BMI Consultants และ BM Intelligence Group, ฮ่องกง สนับสนุนโดยบริษัท เรียลมูฟ จำกัด ได้ร่วมจัดฟรีสัมมนา
เพื่อติดอาวุธให้กับ SMEs ไทยในหัวข้อ “เปลี่ยนแนวรับ ปรับแนวรุก: ทางลัดสู่ความสำเร็จในตลาดจีนและตลาดโลก (On the Fast Track to Success in China and Global Markets) โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์

ร่วมบรรยายในหัวข้อ “ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ใต้เงาพญามังกร” พร้อมด้วย 2 ผู้บริหารจากบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนชั้นนำ มร.โลเวลล์ โล ประธาน BM Intelligence Group และ มร.เทอเรนซ์ ฮอง กรรมการผู้จัดการ BMI Consultants, ฮ่องกง ร่วมติดอาวุธสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีไทย และชี้ช่องทางลัดสู่ความสำเร็จด้วยเครื่องมือทางการตลาดแบบใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และการจับคู่ทางธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนระดับโลกผ่าน Shanghai Equity Exchange (SEE) และ Hong Kong Stock Exchange (HKEx) ท่ามกลางความสนใจของผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

นายสักกฉัฐ ศิวะบวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบริก จำกัด เปิดเผยว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่ของ SMEs ไทย และเป็นการชี้ช่องทางลัดสู่ความสำเร็จด้วยเครื่องมือทางการตลาดแบบใหม่และเป็นหนึ่งใน “นวัตกรรมเชิงการจัดการ” ด้าน SME Financing ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 โซนของงาน SME BIZ ASIA 2016 ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า โดยมุ่งหวังให้กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยได้ตื่นตัว และเตรียมพร้อมเชิงรุกในการบุกสู่ตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยการนำเสนอและแนะนำโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้น

ด้าน มร.เทอเรนซ์ ฮอง กรรมการผู้จัดการ BMI Consultants, ฮ่องกง ปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนจะมีความแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีการคาดการณ์ว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะด้อยความสำคัญลงในฐานะผู้นำโลก


 
โดยมีมูลค่าของผลผลิตประชาชาติ 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าร้อยละ 30 ของเศรษฐกิจโลกจะลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปี 2030 ส่วนขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 6 ล้านล้าน เป็น 6.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอีก 15 ปีข้างหน้า และจะถูกแซงหน้าโดยอินเดียที่คาดว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจถึง 6.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030

ในสองทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนขยายตัวมากกว่า 7 เท่า จากเดิมที่มีขนาด GDP ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจนมีขนาดเศรษฐกิจเท่ากับ 22.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ น้อยกว่าสหรัฐฯ ราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ขนาดเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเท่ากับมูลค่า 15 ล้านล้าน ภายใน 15 ปี มากกว่ามูลค่าเศรษฐกิจปัจจุบันของบราซิล ญี่ปุ่น และเยอรมนีรวมกัน จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังมีช่องว่างที่จะเติบโดอีกมาก ผนวกกับชนชั้นกลางและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยที่ไม่ควรพลาด

มร. ฮอง กล่าวว่า ตลาดทุนที่น่าสนใจและถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจของไทยได้แก่ ตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Equity Exchange หรือ SEE) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย สภามนตรีแห่งรัฐ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน และ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการจดทะเบียนใน SEE ได้รับความนิยมสูงมาก ไม่เพียงแค่จากจีน แต่จากต่างประเทศ

อาทิ ญี่ปุ่น โดยมีระเบียบและขั้นตอนในการเข้าจดทะเบียนที่ไม่ซับซ้อนมากนักใช้ระยะเวลาเพียง 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบริษัท ทั้งนี้โดยกลุ่มบริษัทที่จีนให้ความสนใจจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คุณค่าทางวัฒนธรรม ดีไซน์ เอกลักษณ์เฉพาะตัว ในประเภทของอุตสาหกรรมและธุรกิจ

ได้แก่ ไอที อินเตอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ การศึกษาที่ใช้สื่ออิเลกทรอนิกส์ (IT, Internet, Software, E-learning education), ที่ปรึกษา/บริการทางการเงิน การลงทุน (Financial/investment consulting), สมุนไพรสรรพคุณเป็นยา, เครื่องเทศ (Medicinal herbs, spices), การแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบองค์รวม (Alternative medicine/holistic medicine), เครื่องหอม ผลิตภัณฑ์สปา เครื่องสำอางจากธรรมชาติ (Perfumery, spa products, organic cosmetics), เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology), อาหารสำเร็จรูป หรือ อาหารไทยแปรรูป (Ready-to-eat food, processed Thai food), บริการดูแลเด็ก/คนสูงอายุ (Child care/elderly care)


สำหรับโอกาสที่กลุ่มธุรกิจไทยจะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (SEE) คือ ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือโอกาสทางธุรกิจทั้งในด้านการระดมทุน การจับคู่ทางธุรกิจ การขยายตัวและการสร้างคู่ค้าใหม่ๆ ในตลาดโลกได้อย่างไรขีดจำกัด ซึ่งสินค้าไทยใน 8 กลุ่มข้างต้น ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่จีนให้ความสนใจเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แข่งขันด้วยปริมาณสินค้า แต่แข่งขันในเรื่องของการบริการ นวัตกรรม ศิลปวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีมูลค่าในตลาดได้ในอนาคต

ต่อประเด็นที่อยู่ในความสนใจในสภาวะตลาดหุ้นจีนผันผวนในที่ผ่านมาจะกระทบต่อ Shanghai Equity Exchange หรือไม่นั้น มร. ฮอง กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า Shanghai Equity Exchange (SEE) เป็นตลาดทุนที่ไม่ได้เป็นตลาดที่มีการทำ automated matched transaction เหมือนกับตลาดหุ้นทั่วไป โดยการซื้อขายจะเป็น over-the-counter เท่านั้น

โดยปกติสิ่งที่ SEE โดยเฉพาะ Q Board ทำ คือการทำ private placement, bond issuance ส่วนของบริษัทใน E Board นั้นสามารถทำการซื้อขายหุ้นด้วย secondary market trading ได้ แต่จะต้องทำการตกลงกันก่อนระหว่างผู้ซื้อผู้ขายก่อนจะผ่านโบรกเกอร์

นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนใน SEE ได้นั้น จะไม่ใช่กลุ่ม retail investors รายใดก็ได้ แต่ต้องมี net worth มากกว่า 500,000 RMB หรือเป็นกลุ่มนักลงทุนแบบ institutional มากกว่าสัดส่วนโดยปกติของตลาดหุ้นทั่วไป นั่นหมายความว่า การถือครองหุ้นของบริษัทที่ลงทุน จะไม่ทำการซื้อขายแบบ herd behavior, panic selling หรือซื้อขายตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลอย่างนักลงทุนรายย่อยโดยทั่วไป

และมีความอ่อนไหวต่อสภาวะตลาดผันผวนน้อยกว่า จึงเป็นเหตุผลที่ SEE ไม่ประสบภาวการณ์เทขายอย่างไร้เหตุผลมากเท่ากับตลาดหุ้นอื่นๆในจีน รวมถึงการผันผวนของราคา น้อยกว่า ตลาดหุ้นอื่นๆ มากในช่วงที่เกิดวิกฤตตลาดหุ้นจีนในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา” มร. ฮอง กล่าว

อ้างอิงจาก  lokwannee.com
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่มาแล้ว! บุราณ ..
963
รวมภาพบรรยากาศ คอร์ส F..
664
“เติมพลังความรู้” กับ ..
596
มาโนอิ ร่วมงานครบรอบ 1..
567
สมาร์ทเบรน จินตคณิต เป..
558
โทกิวอช ร้านสะดวกซัก เ..
522
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด