442
30 มกราคม 2568
“พาณิชย์” เผยใช้ FTA ส่งออก 11 เดือน ปี 67 เพิ่ม 0.73% อาเซียนใช้สิทธิ์สูงสุด
 

กรมการค้าต่างประเทศ เผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใน FTA ช่วง 11 เดือน ปี 67 มีมูลค่า 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.73% อาเซียนนำโด่งใช้สิทธิ์สูงสุด ตามด้วยอาเซียนจีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-ออสเตรเลีย และอาเซียน-จีน ชวนใช้ FTA ไทย-ศรีลังกา ที่จะบังคับใช้ 1 มี.ค. ส่วน FTA เดิม อาเซียนยังโดดเด่น และกำลังปรับปรุงให้ทันสมัย รวมถึงอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ที่การอัปเกรด จะบังคับใช้ไตรมาสสอง
 
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA ในช่วง 11 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ รวม 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.73% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 83.62% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ค.2567

โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 28,772.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 78.08% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 20,871.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 90.01%

ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,335.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 84.03% ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 5,636.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 58.27% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,987.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 64.28%
 
ทั้งนี้ คาดว่า ตัวเลขการใช้สิทธิ์ FTA ทั้งปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกไปจีน ซึ่งมีการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA เป็นอันดับสองหดตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดยกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการใช้สิทธิ์ ลดลง อาทิ ทุเรียนสด ยางสังเคราะห์ สตาร์ชจากมันสำปะหลัง และโพลิเมอร์ของเอทิลีน
 
นางอารดากล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิ์ FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2568 คือ FTA ไทย-ศรีลังกา ซึ่งเป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทย ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค.2568 โดยศรีลังกาแม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีจุดเด่นด้านที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการขนส่งทางเรือของโลก เชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ดังนั้น จะมีส่วนช่วยในการขยายตลาดการส่งออกและผลักดันมูลค่าการส่งออกของไทยอย่างแน่นอน
 
ส่วน FTA 14 ฉบับของไทยที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ซึ่งเป็น FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์สูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในช่วง 11 เดือน ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้น 4.53% และมีสินค้าที่น่าสนใจ เนื่องจากมีมูลค่าการใช้สิทธิ์โตต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน ม.ค.2567 คือ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิ์ ม.ค.-พ.ย.2567 660.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 105.27%

และการส่งออกไปยังทุกประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งออกไปยังอินโดนีเซียมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ความตกลงฉบับนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อำนวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้น คาดว่าหากสามารถเจรจาได้เสร็จตามเป้าในปี 2568 จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้สิทธิ์ที่มากอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้นไปอีก
 
นอกจากนี้ ความตกลงที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2567 อีกฉบับที่น่าสนใจ คือ อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดย 11 เดือน ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ 3,449.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 31.96% เป็นการใช้สิทธิ์ส่งออกไปยังออสเตรเลีย มูลค่า 3,285.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่มีการใช้สิทธิ์สูง 5 อันดับแรก เป็นสินค้ายานยนต์ทั้งสิ้น และส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ มูลค่า 163.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีการใช้สิทธิ์สูง

อาทิ แผ่นอะลูมิเนียมเจือ กากเหลือจากการผลิตสตาร์ช เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำหรือชุบด้วยเงิน และอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ความตกลงฉบับอัปเกรด จะมีผลบังคับใช้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2568 โดยได้ปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการค้าในปัจจุบัน

เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Self-certification) ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับปรุงเกณฑ์ถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า 253 รายการ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับกระบวนการผลิตจริงมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ กรมอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมการรองรับการบังคับใช้ดังกล่าว
 
นางอารดากล่าวว่า ในปี 2568 คาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน หรือความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ FTA ที่มีอยู่ 14 ฉบับกับ 18 ประเทศคู่ค้า

และล่าสุดฉบับที่ 15 กับศรีลังกา ที่รัฐบาลได้มุ่งมั่นเจรจาเพื่อขยายตลาดในการส่งออก จะเป็นทางรอดและตัวช่วยสำคัญของธุรกิจไทยในการกระจายความเสี่ยงในการส่งออก เพราะจะมีแต้มต่อด้านภาษีและลดผลกระทบที่อาจเกิดจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ

โดยกรมจะเดินหน้าเตรียมจัดสัมมนาและทำเวิร์กชอปเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง สงขลา นครพนม พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน หนองคาย และชลบุรี เพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยมีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ที่มา : https://mgronline.com
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
แฟรนไชส์ P.P.TYRE ร่วม..
1,635
แฟรนไชส์ “ไจแอ้นลูกชิ้..
1,462
“โฮมแคร์ภิบาล” จัด Ope..
1,427
ชีสซี่ฟราย สแน็ค เปิด ..
1,117
เรียนสร้างแฟรนไชส์ ในค..
888
ธงไชยผัดไทย เปิดโครงกา..
820
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด