448
13 มกราคม 2568
สสว.มองธุรกิจสุขภาพ SME ขยายตัวได้ ปี 68 ถ้าได้แรงหนุนภาครัฐช่วยซัปพอร์ต
 

ธุรกิจสุขภาพมีโอกาสขยายตัวในปี 2568 การเพิ่มศักยภาพธุรกิจและใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่การทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ สภาพภูมิอากาศ และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโต นโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย การเพิ่มศักยภาพและการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐจะเป็นตัวช่วยสำคัญให้ SME อยู่รอดได้
 
น.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลสำรวจมุมมองภาวะเศรษฐกิจและแผนรับมือในปี 2568 ของธุรกิจ SME ซึ่งได้สอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,696 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20-30 พฤศจิกายน 2567 จากผลสำรวจพบว่า SME ร้อยละ 72.1 คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะทรงตัวถึงเติบโตได้ดีขึ้น

เนื่องจากยังคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ยังมีปัจจัยความกังวลต่อการประกอบธุรกิจ ได้แก่ การทะลักของสินค้าต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค
 
จากผลสำรวจระบุว่า SME มองว่า ในปี 2568 ธุรกิจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีโอกาสขยายตัวมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 23.5 รองลงมาคือ ธุรกิจด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง และธุรกิจสีเขียวและความยั่งยืน เช่น ธุรกิจที่ผลิตสินค้าจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่ย่อยสลายง่าย

ซึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง สำหรับปัจจัยที่เป็นโอกาสสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในปี 2568 จะเปลี่ยนไปตามขนาดธุรกิจ กล่าวคือ ธุรกิจรายย่อย (Micro) ในกลุ่มธุรกิจภาคการค้าและภาคการบริการ มองว่านโยบายจากทางภาครัฐเป็นโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดี

แต่ธุรกิจขนาดย่อม (Small) และขนาดกลาง (Medium) โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจภาคการผลิตและภาคธุรกิจการเกษตร ให้ความสำคัญกับการนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้ในการประกอบธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของธุรกิจ ส่วนอุปสรรคสำคัญของ SME ในการประกอบธุรกิจปี 2568 ในมุมมองของธุรกิจรายย่อย (Micro) คือ กำลังซื้อและรายได้ของผู้บริโภค หากเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มองว่า การขาดแคลนวัตถุดิบ ราคาต้นทุน
 
สินค้า/บริการ ค่าแรง เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
 
สำหรับรูปแบบของแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในปี 2568 พบว่า รูปแบบแผนรับมือของธุรกิจรายย่อยจะเน้นการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อลดต้นทุนเนื่องจากต้นทุนในการประกอบธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงด้าน Marketing ที่จะเน้นการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ส่วนธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลางจะให้ความสำคัญกับการปรับรูปแบบวิธีการประกอบธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจ ได้แก่ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตหรือการบริการ การพัฒนาทักษะแรงงานให้ครอบคลุมทุกด้าน

ดังนั้น SME กว่าร้อยละ 76.4 จึงต้องการลงทุนเพิ่มเติมในด้านการวิจัย ด้านการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและการโฆษณาผ่านช่องทางที่มีความหลากหลายมากขึ้น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจในปี 2568 รวมถึงกลยุทธ์สำคัญที่จะต้องปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การมุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ การจัดโปรโมชัน การใช้เอกลักษณ์และความแตกต่างเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลัก เป็นต้น
 
ทั้งนี้ ผลการสำรวจยังระบุถึงรูปแบบของมาตรการหรือนโยบายที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการจากภาครัฐให้ช่วยผลักดันด้านเศรษฐกิจในปี 2568 พบว่า SME กว่าร้อยละ 63 ต้องการมาตรการที่สร้างแรงจูงใจในการใช้จ่าย รวมถึงการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ในการเข้าสู่ธุรกิจสีเขียว

นอกจากนี้ การลดภาระต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน การสนับสนุนด้านเงินทุนและหนี้สินเพื่อรักษาสภาพคล่องธุรกิจ และการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการและแรงงาน เป็นประเด็นสำคัญที่ SME ต้องการสนับสนุนและส่งเสริมมากที่สุด

อย่างไรก็ดี สสว. มีบริการให้คำปรึกษาจากที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ที่จะให้คำแนะนำในการวางแผน การเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568  ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่เป็นแหล่งข้อมูลและองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ไทย ให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น


ที่มา : MGRonline.com
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
แฟรนไชส์ P.P.TYRE ร่วม..
1,630
แฟรนไชส์ “ไจแอ้นลูกชิ้..
1,453
“โฮมแคร์ภิบาล” จัด Ope..
1,423
ชีสซี่ฟราย สแน็ค เปิด ..
1,109
เรียนสร้างแฟรนไชส์ ในค..
887
ธงไชยผัดไทย เปิดโครงกา..
819
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด