การเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมืองกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ของกลุ่มผู้ประกอบการแฟรนไชส์ไทย ซึ่งนำโดยสถาบันคีนันแห่งเอเชีย นับเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้ข้อมูลใหม่ๆ นักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการสานความสัมพันธ์ เพื่อเป็นพันธมิตรที่ดีได้ในอนาคตอันใกล้ 

 

ดวงรัตน์ ใยไพโรจน์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันคีนันแห่งเอเชีย กล่าวว่า การพาผู้ประกอบการแฟรนไชส์ไทยไปประเทศลาวครั้งนี้ มีการทำบิสซิเนส แมตชิ่งอย่างเดียว ไม่ได้มีการออกงานแฟร์ โดยผู้ประกอบการที่ไปมีทั้งธุรกิจบริการและธุรกิจอาหาร 9 ราย ประกอบด้วย

 

 ด้านสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ พบว่ากลุ่มกำลังซื้อระดับกลางๆ หรือชนชั้นกลางแบบบ้านเราจะไม่ค่อยมี ที่มีก็คือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง กับกลุ่มที่ไม่มีสตางค์หรือกลุ่มล่างๆ ไปเลย 

"และก็พบว่าตอนนี้ เจเนอเรชั่น 2 ซึ่งเป็นลูกนักการเมือง ที่เดิมรุ่นพ่อนอกจากเป็นนักการเมือง ก็มีการทำธุรกิจไปด้วยนั้น ได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนอายุ 30 ต้นๆ มีแบ็กอัพครอบครัวทำธุรกิจอยู่แล้ว จบการศึกษาสูง ดูแลธุรกิจของครอบครัวอยู่ และกำลังมองหาธุรกิจใหม่ที่แตกต่างเพื่อขยายช่องทาง ซึ่งที่มาทำแมตชิ่งที่เวียงจันทน์ 40% เป็นทายาทรุ่น 2"

 

ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มคนที่สนใจ บางคนทำงานอยู่ อยากจะมองหาธุรกิจเล็กๆ ซึ่งอาจจะไม่มีศักยภาพ คล้ายกับเอสเอ็มอีบ้านเรา ซึ่งถ้าอยู่บ้านเราก็พอจะสนับสนุน แต่การไปลงทุนต่างประเทศ เราก็ต้องเลือกรายที่มีศักยภาพจริงๆ

 

ส่วนที่หลวงพระบาง สภาพตลาดเป็นเมืองท่องเที่ยว มีโรงแรม มีร้านอาหาร มีสปา ฯลฯ ที่เปิดให้บริการ เราก็ไปเปิดหูเปิดตาดู และพบว่านักธุรกิจที่นี่เป็นคนท้องถิ่น ที่ยังไม่เข้าใจระบบแฟรนไชส์ดีนัก 

 

 

ที่หลวงพระบาง ยังมีลักษณะสังคมนิยมอยู่ การเข้าไปต้องผ่านรัฐบาล ซึ่งพาร์ตเนอร์ของคีนันเป็นคนประสานให้ เพราะฉะนั้นการเข้ามาที่นี่ส่วนหนึ่งจึงต้องทำการเอดดูเคตตลาดว่า แฟรนไชส์คืออะไร การเข้ามาของเราคือการหาพันธมิตรร่วมลงทุน ไม่ได้มาเพื่อต้องการผูกขาด ที่นี่จึงเป็นการ Expo จริงๆ

 

ซึ่งถ้าให้สรุปโดยภาพรวมก็พบว่า ลาว เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราใกล้ๆ แค่นี้ มีโอกาสพอสมควรสำหรับผู้ประกอบการไทย แต่อย่างที่บอกว่า ธุรกิจบริการ มีโอกาสมากกว่าธุรกิจอาหาร !!!

 

 

ภายใต้กรอบการทำงานโครงการเสริมสร้างศักยภาพ ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ไทยในต่างแดน ที่คีนันรับเป็นเจ้าภาพ โดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ มีผู้ประกอบการไทยผ่านกฎเกณฑ์และให้ความสนใจประมาณ 20 กว่าราย และมีโอกาสได้ไปทำบิสซิเนสแมตชิ่ง โดยการเวียนกันไปใน 4-5 ประเทศ ได้แก่ ลาว เวียดนาม ดูไบ จีน และมาเลเซีย ซึ่งผลที่ได้รับในเบื้องต้นพบว่า

 

ลาว ธุรกิจที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ แฟรนไชส์สมาร์ทอิงลิช โดย ผู้ที่สนใจคือผู้ประกอบการที่หลวงพระบาง ที่มีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่รูปแบบและระบบยังต้องพัฒนาอีก จึงสนใจที่จะนำระบบและหลักสูตรของสมาร์ทอิงลิชไปใช้

 

นอกจากนี้ คอฟฟี่เมกเกอร์ ก็ได้รับความสนใจในการเข้าไปในรูปของธุรกิจให้คำปรึกษา ส่วน สปาออฟสยาม มีแผนที่จะเปิดเองที่หลวงพระบาง ส่วนก่อนหน้าที่ไปมาแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ เวียดนาม จีน ดูไบ มาเลเซียนั้น พบว่า

ที่เวียดนาม บอนทราส์ และสปาออฟสยาม ได้รับความสนใจธุรกิจที่ปรึกษา, นีโอสุกี้ มีนักลงทุนร่วมจอยต์เวนเจอร์ แต่เจ้าของต้องการขายแฟรนไชส์ไม่อยากร่วมทุน ส่วน เอพีไอเน็ท ศูนย์อินเทอร์เน็ตครบวงจร ก็ได้รับความสนใจ แต่ต้องใช้เวลาพูดคุยเจรจาอีกสักระยะหนึ่ง แต่มีโอกาสเป็นจอยต์เวนเจอร์มากกว่า 

 

ที่ดูไบ บอนทราส์ ผู้ประกอบการสปาได้รับความสนใจร่วมลงทุนแล้ว นอกจากนี้ก็มี วงศ์พาณิชย์ แฟรนไชส์โรงคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล ได้รับความสนใจและมีนักลงทุนบินมาดูงานแล้ว แต่เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้าน จึงต้องใช้เวลาแต่มีโอกาสสูงมาก

 

ส่วนคาร์แลคก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและบินมาดูงานที่ประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งคงต้องติดตามดูผล

ประเทศจีน วงศ์พาณิชย์ ก็ได้รับความสนใจมีนักลงทุนตามกลับมาที่ไทยเองเพื่อดูงานเช่นกัน นอกจากนี้ก็มี ภตาอัญมณีโคลนนิ่ง สมาร์ทเบรน ที่ได้รับความสนใจ ส่วนประเทศมาเลเซีย ไม่เวิร์กเลย เหมือนได้ไปดูตลาดมากกว่า

 

 

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ