บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
267
5 นาที
11 ธันวาคม 2568
กลยุทธ์เลือกทำเล ในห้าง-นอกห้าง โอกาส-ความเสี่ยง
 

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีก บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจแฟรนไชส์ยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญของคนที่อยากมีอาชีพ ต้องการมีรายได้เสริม รวมถึงคนที่อยากต้นเริ่มต้นธุรกิจภายใต้ระบบดำเนินงานที่มีมาตรฐานรองรับ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม 
 
หากต้องการสร้างความสำเร็จให้กับร้านแฟรนไชส์ คือ การเลือกทำเลเปิดร้าน เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อยอดขาย ต้นทุนการดำเนินงาน และศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
 
“ทำเลที่ดี” ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ ประเภทของแฟรนไชส์ ฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบข้าง โดยเฉพาะหากต้องเลือกระหว่างทำเลในห้างกับทำเลนอกห้าง ซึ่งทั้งสองทำเลต่างก็มีโอกาสและความเสี่ยงที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ควรประเมินอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
 
ปัจจัยที่ต้องวิเคราะห์ก่อนเลือกทำเลเปิดร้าน
 
การเลือกทำเลเปิดร้านในปัจจุบันไม่สามารถอาศัยเพียงความรู้สึก หรือประสบการณ์ส่วนตัวได้อีกต่อไป ผู้ซื้อแฟรนไชส์จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินโอกาสทางธุรกิจและลดความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจเช่าพื้นที่เปิดร้านแฟรนไชส์ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ควรพิจารณาดังนี้
 
1. ตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 
 

การสำรวจตลาดเป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจบริบทของพื้นที่อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่จำนวนประชากรเท่านั้น แต่ควรพิจารณารายละเอียดเชิงลึก ทั้งโครงสร้างประชากร ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ อาชีพ เพื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหลัก
 
รวมไปถึงสำรวจรายได้เฉลี่ยและกำลังซื้อของประชากรในพื้นที่ เพื่อประเมินความเหมาะสมของราคาและสินค้าที่จะขาย ตลอดจนสำรวจพฤติกรรมการซื้อและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในพื้นที่ เช่น พฤติกรรมการซื้อออนไลน์ หรือการเดินซื้อที่ร้าน ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถคาดการณ์ดีมานด์ และนำเสนอสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าในพื้นที่ได้
 
นอกจากนี้ ต้องวิเคราะห์ในส่วนของสินค้าและบริการ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องพิจารณาว่าสินค้าหรือบริการของแฟรนไชส์ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใดบ้าง เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายนักศึกษา คนทำงาน ควรอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย คอนโด ย่านออฟฟิศ และแหล่งที่คนพลุกพล่านใจกลางเมืองหรือแหล่งท่องเที่ยว

2. คู่แข่งขันในทำเลพื้นที่เปิดร้าน  
 
การทำความเข้าใจสถานการณ์การแข่งขันในทำเลเปิดร้านเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทำเลที่มีคู่แข่งจำนวนมาก หรือมีแบรนด์ขนาดใหญ่ครองตลาดอยู่แล้ว อาจทำให้ต้นทุนการทำตลาดสูงขึ้นกว่าที่คาดคิด โดยสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ เช่น จำนวนและประเภทของคู่แข่ง ชื่อเสียงของแบรนด์ในพื้นที่ กลยุทธ์การตั้งราคาและโปรโมชั่นที่คู่แข่งใช้ การทำความรู้จักคู่แข่งจะช่วยให้สามารถวางตำแหน่งสินค้าและบริการให้แตกต่างได้ และประเมินได้ว่าต้องใช้ทรัพยากรทางการตลาดมากแค่ไหนเพื่อแข่งขันในตลาด 
 
3. การมองเห็นร้าน และการเข้าถึง
 

ทำเลที่มีความโดดเด่นและเข้าถึงได้ง่าย จะช่วยให้ลูกค้ามองเห็นได้ง่าย เช่น ร้านที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุม ใกล้ทางเข้า–ออก หรืออยู่ในเส้นทางที่ลูกค้าต้องเดินผ่านเป็นประจำ รวมถึงทำเลที่มีที่จอดรถสะดวก หรืออยู่ติดถนนเส้นหลัก จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจแวะใบริการได้ง่ายขึ้น ร้านที่เปิดในทำเลที่มองเห็นได้ชัดเจน ไม่ถูกบังด้วยกำแพง ป้าย หรือร้านข้างเคียง จะช่วยดึงดูดความสนใจและเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าใช้บริการที่ร้าน โดยไม่ต้องทำการตลาดเพิ่มมากนัก
 
4. ค่าเช่าและต้นทุนรวม 
 
การประเมินต้นทุนทำเลเปิดร้านไม่ควรมองแค่ “ค่าเช่า” รายเดือนเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าออกแบบและตกแต่งร้านตามมาตรฐานแฟรนไชส์ รวมถึงค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าปรับปรุงพื้นที่สำหรับเปิดร้าน ค่าการตลาดส่วนกลางของห้าง หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ดังนั้น การประเมินต้นทุนรวมอย่างรอบด้านจะช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์มั่นใจได้ว่า ร้านที่เปิดในทำเลดังกล่าวจะสามารถสร้างจุดคุ้มทุนและผลกำไรในระยะยาวได้จริง
 
5. วิเคราะห์จุดคุ้มทุน 
 

ก่อนตัดสินใจเปิดร้าน การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงเชิงตัวเลขให้กับธุรกิจ โดยวิเคราะห์เกี่ยวกับต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค, ต้นทุนผันแปร เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าโลจิสติกส์ รวมถึงยอดขาย ดังนั้น การทำ Break-even Analysis ช่วยให้สามารถมองเห็นระยะเวลาคืนทุน ปริมาณยอดขายเพื่อไม่ขาดทุน
 
ตัวอย่างการคำนวณ Break-even Analysis
ระบุต้นทุน

ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) คือ ต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนตามปริมาณการขาย สมมติว่า
  • ค่าเช่าร้าน: 20,000 บาท/เดือน
  • ค่าพนักงาน: 15,000 บาท/เดือน
  • ค่าสาธารณูปโภค: 5,000 บาท/เดือน
รวมต้นทุนคงที่ = 20,000 + 15,000 + 5,000 = 40,000 บาท/เดือน
 
ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) คือ ต้นทุนที่ขึ้นกับจำนวนสินค้าที่ขาย สมมติว่า

ค่าวัตถุดิบต่อหน่วย = 50 บาท/ชิ้น

กำหนดราคาขายต่อหน่วย
 

สมมติขายสินค้าหนึ่งชิ้นที่ราคา 100 บาท/ชิ้น 
 
คำนวณกำไรต่อหน่วย (Contribution Margin)
 
กำไรต่อหน่วย = ราคาขายต่อหน่วย – ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย จะได้ 100 – 50 = 50 บาท/ชิ้น
 
คำนวณจุดคุ้มทุน (Break-even Point)
 
จุดคุ้มทุน (จำนวนชิ้น) = ต้นทุนคงที่ หาร กำไรต่อหน่วย 40,000 / 50 = 800 ชิ้นต่อเดือน
 
หมายความว่า ธุรกิจต้องขายสินค้าอย่างน้อย 800 ชิ้นต่อเดือน ถึงจะครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด ไม่ขาดทุน
 
คำนวณยอดขายที่จุดคุ้มทุน (Revenue at Break-even)
 
ยอดขายที่ต้องทำ = จำนวนชิ้นที่คุ้มทุน×ราคาขายต่อหน่วย 800×100 = 80,000 บาท/เดือน
 
6. สัญญาเช่าและความยืดหยุ่น
 

ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องศึกษาเงื่อนไขสัญญาเช่าพื้นที่เปิดร้านอย่างละเอียด เนื่องจากมีผลต่อความเสี่ยงในอนาคต ถ้าเป็นทำเลในห้างสรรพสินค้ามักมีสัญญาระยะยาว พร้อมข้อกำหนดและค่าบริการต่างๆ ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่มีความยืดหยุ่นน้อย
 
ส่วนทำเลนอกห้างจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ทั้งในด้านราคาค่าเช่าและการตกลงกันกับเจ้าของพื้นที่ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงในเรื่องความมั่นคงหรือการเปลี่ยนแปลงของผู้ให้เช่าถ้าหากมีปัญหาขัดแย้งกัน ดังนั้น การพิจารณาระยะเวลาสัญญาเช่า การต่อสัญญา สิทธิในการตกแต่งร้าน และข้อกำหนดด้านการปรับปรุงพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
 
เปิดร้านในห้าง โอกาสน่าดึงดูด แต่ต้นทุนสูง
 
ปัจจุบันการเลือกทำเลเปิดร้านในห้างสรรพสินค้ายังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ ที่ต้องการฐานกลุ่มลูกค้าที่แน่นอน รวมถึงบรรยากาศการขายที่มีมาตรฐาน แม้จะมีต้นทุนสูง แต่ก็ข้อดีอยู่มากมาย
 
โอกาสในการขายของทำเลในห้าง
 
1.กำลังซื้อสูงและกลุ่มลูกค้าคุณภาพ
 

ห้างสรรพสินค้ามักดึงดูดผู้บริโภคระดับกลางถึงระดับบน ซึ่งมีแนวโน้มซื้อสินค้าราคาปานกลางไปถึงราคาสูงได้ดี ทำให้แฟรนไชส์ที่มีสินค้าหรือบริการคุณภาพสูง มีโอกาสในการขายและทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว
 
2.สภาพแวดล้อมพร้อมสนับสนุนธุรกิจ
 
ศูนย์การค้าจัดเตรียมระบบต่างๆ อย่างครบครัน เช่น ความปลอดภัย, แสงสว่าง, ความสะอาด และการจัดการสภาพแวดล้อมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องบริหารจัดการพื้นฐาน และสามารถโฟกัสกับการขายและบริการลูกค้าได้เต็มที่
 
3.เสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์
 

การมีสาขาในห้างใหญ่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์แฟรนไชส์ รวมถึงสร้างโอกาสในการขยายสาขาเพิ่มในอนาคต เนื่องจากลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานของแบรนด์ที่อยู่ในศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง
 
4.โอกาสจากกิจกรรมการตลาดของห้าง
 
ข้อดีของทำเลในศูนย์การค้า คือ จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย แคมเปญพิเศษ และอีเวนต์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยดึงลูกค้าเข้าพื้นที่โดยตรง ร้านค้าในห้างจึงได้รับผลประโยชน์จากการเข้าชมของลูกค้า โดยไม่ต้องลงทุนด้านการตลาดมากนัก
 
ความเสี่ยงและข้อจำกัดของทำเลในห้าง
 
แม้ว่าทำเลในห้างจะสร้างโอกาสดีๆ ให้กับธุรกิจ แต่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดต่างๆ อย่างรอบด้าน
 
1.ค่าเช่าสูงและระบบ GP/Service Fee
 

ค่าเช่าเฉลี่ยในศูนย์การค้าหลายแห่งสูงกว่าทำเลนอกห้างหลายเท่า นอกจากนี้บางแห่งยังคิดส่วนแบ่งยอดขาย (Gross Profit / Service Fee) ทำให้กำไรสุทธิลดลง หากไม่ได้วางแผนการควบคุมต้นทุนและกลยุทธ์การขายให้เหมาะสมกับทำเล
 
ตัวอย่าง การคิดค่าเช่าและค่า GP/Service Fee ของห้าง
 
1.1 ค่าเช่าพื้นฐาน (Base Rent)
 
ค่าเช่าพื้นฐาน คือ ค่าเช่าที่ต้องจ่ายตามพื้นที่ร้าน (ตารางเมตร) โดยมักคิดเป็นบาท/ตร.ม./เดือน
 
สมมติ เปิดร้านขนาด 50 ตร.ม.
  • ค่าเช่าเฉลี่ยในห้าง 1,200 บาท/ตร.ม./เดือน
  • คำนวณค่าเช่าเดือนแรก 50 ตร.ม.×1,200 บาท/ตร.ม.= 60,000 บาท/เดือน
1.2 ค่า GP / Service Fee (ส่วนแบ่งยอดขาย)
 
หลายห้างจะคิด Gross Profit (GP) หรือ Service Fee เป็น % ของยอดขาย เพื่อให้ห้างได้รายได้ร่วมจากความสำเร็จของร้าน
สมมติ ร้านมียอดขายต่อเดือน 500,000 บาท ทางห้างคิดค่า GP 5%
 
คำนวณค่า GP จะได้ 500,000×5% = 25,000 บาท/เดือน 
รวมค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับห้างต่อเดือน 60,000+25,000 = 85,000 บาท/เดือน
 
2.ข้อจำกัดด้านเวลาและการดำเนินงาน
 

ร้านในห้างต้องปฏิบัติตามเวลาทำการของศูนย์การค้า ไม่สามารถเปิด–ปิดร้านได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการตกแต่งและการจัดวางร้านที่เข้มงวด ห้างมักกำหนด ธีม สี วัสดุตกแต่ง หรือป้ายโฆษณา โดยที่ร้านไม่สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์เองตามใจชอบ ซึ่งอาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ หรือการทดลองโมเดลใหม่ๆ 
 
ยกตัวอย่างการเปิด-ปิดห้าง สมมติ
  • ห้างกำหนดเวลาทำการ เช่น 10.00 – 22.00 น.
  • ร้านไม่สามารถเปิดก่อน 10.00 น. หรือปิดหลัง 22.00 น. แม้ยังมีความต้องการของลูกค้า
ผลกระทบ ทางร้านพลาดโอกาสขายช่วงเช้าหรือดึก และไม่สามารถจัดโปรโมชันพิเศษนอกเวลาห้าง

3.ทราฟฟิกผันผวนตามฤดูกาล
 
แม้ห้างจะมีคนเดินจำนวนมาก แต่ยอดขายยังขึ้นอยู่กับกิจกรรมส่งเสริมการขาย วันหยุด และช่วงไฮซีซั่น–โลว์ซีซั่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้เช่าโดยตรง ดังนั้น การวางแผนการบริหารสินค้าคงคลังและโปรโมชั่นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
 
ทำเลนอกห้าง ต้นทุนต่ำ ยืดหยุ่นสูง แต่ความเสี่ยงซับซ้อน
 
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร้านรูปแบบ Standalone และ Community-based มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ทั้งจากผู้ประกอบการอิสระและผู้ซื้อแฟรนไชส์ ทำเลนอกห้างต่างจากในห้าง มีจุดเด่นช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน แต่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ที่ต้องการเปิดร้านทำเลนอกห้าง จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน

โอกาสในการขายในทำเลนอกห้าง
1. ต้นทุนเริ่มต้นและค่าเช่าที่ต่ำกว่า
 

หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของทำเลนอกห้างคือค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ โดยร้าน Standalone มักมีค่าเช่าต่ำกว่าศูนย์การค้าประมาณ 30–70% ขึ้นอยู่กับทำเล และอาจไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับสาธารณูปโภคหรือค่าธรรมเนียมส่วนกลาง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการตกแต่งร้านและการจัดโครงสร้างพื้นฐานได้เอง ทำให้สามารถเริ่มธุรกิจได้ด้วยงบประมาณจำกัด หรือปรับขนาดร้านให้เหมาะกับเงินลงทุนที่มีอยู่
 
2. ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
 
ร้านนอกห้างมีอิสระในการจัดการธุรกิจสูงกว่าในห้าง สามารถกำหนดเวลาเปิด–ปิดได้ตามความเหมาะสมของสถานที่ และพฤติกรรมลูกค้า นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านหรือเมนูสินค้าได้อย่างรวดเร็ว เช่น ทดลองขายสินค้าใหม่ หรือจัดโปรโมชั่นตามฤดูกาล หรือให้บริการรูปแบบ Delivery หรือ Takeaway โดยไม่ต้องขออนุมัติจากฝ่ายบริหารห้าง ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ๆ หรือต้องการปรับตัวตามความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็ว
 
3. มีโอกาสสร้างฐานลูกค้าประจำ
 
ทำเลนอกห้างมักตั้งอยู่ใกล้ชุมชน หมู่บ้าน หรืออาคารสำนักงาน ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใกล้ชุมชน และพนักงานในพื้นที่ได้ง่าย การเข้าถึงง่ายนี้ช่วยสร้างความคุ้นเคยและทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ต้องการมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ธุรกิจยังสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ากับคนในพื้นที่ เช่น แจกใบปลิว รทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียลของพื้นที่นั้นๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
 
4. เหมาะกับแฟรนไชส์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง
 

ทำเลนอกห้างเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการพื้นที่เปิดร้านไม่ใหญ่มาก เช่น ร้านกาแฟเล็ก ร้านอาหารจานด่วน ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านไก่ทอด ร้านส้มตำ ร้านขนม หรือร้านบริการเฉพาะทาง เช่น ร้านซักรีด ร้านเสริมสวย หรือร้านซ่อมมือถือ มักเหมาะกับทำเลนอกห้าง เนื่องจากต้นทุนเริ่มต้นธุรกิจต่ำ ใช้พนักงานจำนวนน้อย ขณะเดียวกันยังสามารถปรับตกแต่งร้านให้เหมาะกับพฤติกรรมและไสตล์ของลูกค้าในพื้นที่ เช่น จำนวนรายการเมนู ขนาดพื้นที่นั่ง หรือบริการ Delivery / Takeaway
 
5. โอกาสในการสร้างแบรนด์เฉพาะตัว
 
ร้านนอกห้างสามารถสร้างเอกลักษณ์และบรรยากาศของร้านได้อย่างเต็มที่ ทั้งการตกแต่ง การจัดแสง การวางตำแหน่งร้าน และการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าจดจำร้านได้ง่ายและเกิดความภักดีต่อแบรนด์ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ร้านทดลองรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เช่น คาเฟ่ธีมเฉพาะ ร้านอาหารฟิวชัน หรือร้านที่มีจุดขาย Unique Selling Point ชัดเจน

ความเสี่ยงของการเปิดร้านทำเลนอกห้าง
1. จำนวนลูกค้าไม่แน่นอน
 
เลือกทำเลเปิดร้านนอกห้าง ต่างจากทำเลในห้างที่มีฐานลูกค้าประจำของห้าง ส่วนทำเลนอกห้างเจ้าของร้านต้องสร้างการรับรู้ในการดึงลูกค้าเข้าร้านเองทั้งหมด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่ขาประจำ บางครั้งแค่สัญจรผ่าน ต้องทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าเอง หากเจ้าของร้านไม่วางแผนให้ดี ยอดขายอาจขึ้นลงไม่สม่ำเสมอตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ  
 
2. ต้องจัดการระบบพื้นฐานเอง
 

ร้าน Standalone มักต้องดูแลระบบพื้นฐานหลายอย่างเอง เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบระบายน้ำ ความปลอดภัย การทำความสะอาด และการตกแต่งร้าน ซึ่งต่างจากร้านในห้างที่มีการดูแลจากส่วนกลาง หากเจ้าของร้านไม่มีความรู้และมีประสบการณ์ อาจทำให้ค่าใช้จ่ายแฝงเพิ่มขึ้น เช่น ค่าไฟสูงกว่าปกติ ระบบน้ำรั่วซึม หรือค่าใช้จ่ายซ่อมแซมอาคารเพิ่ม 
 
3. ผลกระทบจากสภาพอากาศ
 
การเปิดร้านทำเลนอกห้างจะมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณืได้ เช่น ร้านที่ตั้งริมถนนหรือในพื้นที่เปิด อาจได้รับผลกระทบจากกรณีที่มีฝนตกหนักลูกค้าหาย หรือช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวลูกค้าเยอะ ทำให้ยอดขายมีความผันผวนไม่สม่ำเสมอ บางวันขายดี บางวันขายไม่ดี ร้านอาจต้องลงทุนเพื่อป้องกันสภาพอากาศ เช่น หลังคากันฝน กันแดด หรือพื้นที่จอดรถเพิ่ม
 
4. แข่งขันกับร้านประเภทเดียวกัน
 
ทำเลนอกห้างมักจะมีร้านประเภทเดียวกันในพื้นที่เปิดให้บริการอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งถ้าเป็นร้านเก่าแก่ที่มีฐานลูกค้าประจำ หรือร้านที่มีราคาต่ำกว่าตลาด หากเปิดในทำเลนั้นต้องวางกลยุทธ์ราคา และสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการให้เด่นกว่าคู่แข่ง
 
5. ความเสี่ยงในการมองเห็นและเข้าถึงร้าน
 
ทำเลนอกห้างบางพื้นที่อาจมีปัญหาด้านการมองเห็นจากถนนหลักหรือการเข้าถึงร้านได้ยากลำบาก โดยเฉพาะร้านที่ตั้งอยู่ในซอยหรือด้านหลังอาคาร หากไม่มีป้ายบอกชัดเจน หรือระบบนำทางออนไลน์ ลูกค้าอาจไม่รู้ว่ามีร้านเปิดอยู่ในพื้นที่นั้น 
 
สรุป 
 
กลยุทธ์เลือกทำเลเปิดร้าน ผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังสามารถปรึกษาเจ้าของแฟรนไชส์ได้ เพราะมีฐานข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับทำเลที่เหมาะสมในการเปิดสาขา วิธีการปรึกษาเจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์สามารถช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เลือกทำเลที่สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจ 
 
สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดตามแนวทางของแบรนด์ ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจเปิดร้านแฟรนไชส์ เพราะข้อมูลที่ได้จากเจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์ถือเป็นตัวช่วยให้การตัดสินใจได้แม่นยำและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด 

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
597
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
484
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
425
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
390
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
382
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
369
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด