บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    โอกาสทางธุรกิจ    AEC
3.4K
4 นาที
31 มีนาคม 2558
เศรษฐกิจมาเลเซียปี 2556

ภาพรวมเศรษฐกิจมาเลเซีย  ปี2556

- มาเลเซียคงมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยในปี2555 เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตร้อยละ 5.6 ซึ่งสูงกว่าที่ คาดการณ์ไว้(ร้อยละ4.5 - 5.5) อันเนื่องมาจากปัจจัยสําคัญ  คือ การเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศที่ เติบโตสูงสุดในรอบ10 ปี นอกจากนี้ยังมาจากปัจจัยด้านการลงทุนทั้งภาครัฐ (เพิ่มขึ้ นร้อยละ17.1) และภาคเอกชน(เพิ่มชึ้นร้อยละ22 คิดเป็นร้อยละ15.5 ของGDP ซึ่งสูงสุดนับตั้ งแต่ปี 2541) ส่วนอุปทานมวลรวมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคก่อสร้างซึ่งเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2538 ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ1.6 (อัตราร้อยละ3.2 ในปี2554) อันเป็นผลจากการชะลอตัวการขึ้นราคาสินค้าประเทศอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มี แอลกอฮอล์

ทั้งนี้  ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การพัฒนาประเทศตามEconomic Transformation Program ของมาเลเซียซึ่งมีโครงการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านริงกิตมีส่วนสําคัญที่ทําให้ ภาคการก่อสร้างเติบโตอย่างมากและส่งผลไปยังภาคส่วนอื่นในระบบเศรษฐกิจทั้งที่ เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน

-  ช่วงไตรมาสแรกของปี2556 เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวในระดับปานกลาง คือ ร้อยละ4.1 มีปัจจัยบวกจากความต้องการภายในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง  มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นและการลงทุนยังขยายตัว (การลงทุนในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ13.2 และในภาครัฐจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะ2-3 ปีข้างหน้าจํานวนมาก) ดังนั้น  ทางการมาเลเซียจึงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในปี2556 จะเติบโตร้อยละ 5-6 ตามที่ คาดการณ์ไว้

- มาเลเซียมุ่งพัฒนาสู่ การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ. 2020 (รายได้ประชากรต่อหัว15,000 เหรียญ สรอ./ปี) และเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงได้ให้ความสําคัญใน6 ประเด็น ได้แก่

(1) Economic Transformation Programme (ETP) ซึ่งประกอบด้วย2 ส่วน คือ Focus และ Competitiveness
       Focus:  การขยายการเติบโตด้านการลงทุน  โดยต่อยอดโครงการสําคัญต่างๆ ภายใต้ National Key Economic Areas 12 สาขา (12 NKEAs) ได้แก่
       - Oil, Gas and Energy
       - Palm Oil and Rubber
       - Financial Services
       - Wholesale & Retail
       - Tourism
       - Communication Content and Infrastructure
       - Education
       - Business Service
       - Private Healthcare
       - Electrical & Electronics
       - Agriculture
       - Greater Kuala Lumpur/Klang Valley
     Competitiveness : เพื่ อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศที่ เอื้ อต่อการแข่งขัน  รัฐบาลมาเลเซีย ได้กําหนด6 ยุทธศาสตร์การปฏิรูป / Strategic Reform Initiatives (SRIs) ดังนี้
      - Competition, Standards and Liberalisation
      - Human Capital Development
      - Reducing Government’s Role in Business
      - Public Finance Reform
      - Public Service Delivery
      - Narrowing Disparity

(2) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ จัดตั้งและพัฒนา5 ระเบียงเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนา5 เมืองหลัก  เพื่อกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึงทั้งประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและความร่วมมือในสาขาต่างๆ ที่ถนัด  ซึ่งจะเป็นสาขาที่ สอดคล้องกับ 12NKEAs ดังนี้
      - ISKANDAR Malaysia กับ Johor Bahru
      - Northern Corridor Economic Region (NCER) กับ Georgetown
      - East Coast Economic Region (ECER) กับ Kuantan
      - Sarawak Corridor of Renewable Energy (SCORE) กับ Kuching

(3) การพัฒนาระบบศึกษาและการพัฒนาฝีมือบุคลากร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาครูในภาควิชาหลัก อาทิ ภาษามาเลย์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์  และคณิตศาสตร์ เป็นต้น  รวมทั้งการปรับปรุงด้านโครงสร้างของอาคารห้องเรียนของโรงเรียนทุกประเภท ไม่ว่ าจะเป็นโรงเรียนชาวจีน โรงเรียนชาวอินเดีย  โรงเรียนชาวมาเลย์ และโรงเรียนสอนศาสนา ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนรู้ ของเด็กเล็ก  (Pre-School) สําหรับการพัฒนาฝีมือ  นั้น รัฐบาลสนับสนุนเงินงปม.ในการฝึกอบรมเพื่ อพัฒนาฝีมือนักศึกษาจใหม่ในลักษณะ on-the-job-training กับบริษัทเอกชนต่างๆ โดยบริษัทเหล่านี้ สามารถที่ จะหักภาษีรายจ่ายจากการฝึกอบรมได้จนถึงสิ้ นปี ค.ศ. 2016

(4)  การเพิ่ม ผลผลิต ผ่านนวัตกรรม โดยส่งเสริมให้มี การใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มและการขยายกิจการของธุรกิจ  SMEs นอกจากนี้  จะสนับสนุนกิจกรรมภาคการวิจัยและพัฒนา(R&D) ด้านต่างๆ อาทิ นาโเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอวกาศ รวมถึงการพัฒนา Green เทคโนโลยี เป็นต้น

(5)  การปรับสภาวะการคลังให้สมดุล  รัฐบาลเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังมากขึ้น  โดยคาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะลดลงจากร้อยละ  4.5 ของ GDP ในปี 2555 เหลือร้อยละ  4 ของ GDP ในปี2556 และจะลดลงเหลือร้อยละ 3 ในปี 2558 รวมทั้งประกาศว่าหนี้ สาธารณะจะไม่สูงกว่า ร้อยละ  55 ของ GDP นอกจากนี้  จะเสริมสร้างมาตรการจัดเก็บภาษี และเน้นย้ำให้ทุกกระทรวงคํานึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น 

(6) การเสริมสร้างความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศการสาธารณสุขระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม การศึกษา การกีฬา สภาพแวดล้อมของที่พั กอาศัย /สังคม และการพัฒนาสตรีและสถาบันครอบครัว

- ความท้าทายต่อนโยบายเศรษฐกิจมาเลเซีย(long-term competitiveness) ที่สําคัญ  ได้แก่
     (1) การครอบครองตลาดการผลิตปาล์มน้ำมันและยางพาราของอินโดนีเซียและไทย
     (2) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของeconomic clusters
     (3) การเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศและการไหลออกของเงินลงทุนภายในประเทศ
     (4) การขาดแคลนผู้มีความสามารถพิเศษ
     (5) ต้นทุนการทําธุรกิจที่สูงขึ้น
     (6) อัตราการว่างงานที่ เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มแงงานไร้ฝีมือและแรงงานกลุ่มที่ จบปริญญาตรี
     (7) คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และแนวโน้มของปัญหาในเรื่องการขาดความเป็นเอกภาพ/ความสามัคคีภายในชาติ ขาดขีดความสามารถในการบริหารและติดตามตรวจสอบของหน่วยงานภาครัฐ  ขาดการบูรณาการระหว่างภาควิชาการ ภาคธุรกิจและภาครัฐ  ปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลระดับรัฐ  ปัญหาการพึ่งพาexternal factor มากเกินไป  การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ของประเทศ ฯลฯ ความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย  ปี2556

-  ความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียโดยรวมมีความใกล้ชิดและดําเนินไปอย่างราบรื่น และไม่มีปัญหาสําคัญที่ อาจลุกลามกลายเป็นข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมของกลไกความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนา เพื่อติดตามและผลักดันความร่วมมือที่มีศักยภาพที่สําคัญ  ได้แก่การประชุมหารือประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-มาเลเซีย ครั้ งที่ 5 (28 กุมภาพันธ์2556) การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มาเลเซีย(JC) ครั้ งที่ 12 และการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสําหรับพื้นที่ ชายแดนไทย-มาเลเซีย(JDS) ครั้ งที่ 3 (13-15 ธันวาคม2555 ที่ จ.ภูเก็ต ) การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่ วไป(GBC) ครั้ งที่ 51 (14-15 ธันวาคม2555 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์) ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญที่ทั้งสองฝ่ายให้แก่กัน

- แนวทางสําคัญของความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซีย ได้แก่(1) Comprehensive Partnership (2) ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน-ประชาชน (3) ความร่วมมืออยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันและความสัมพันธ์สองทาง (4) ไทย-มาเลเซีย มีศักยภาพในการร่วมกันนําร่อง หรือมีบทบาทนําในอาเซียนได้ในหลายสาขาความร่วมมือและควรขยายความร่วมมือกันทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลกในเรื่องที่มี ความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกัน

- สถานการณ์ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) เป็นประเด็นสําคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-มาเลเซียซึ่งปัจจุบันมีพัฒนาการในที่ดี ตามลําดับ  ทั้งสองฝ่ายได้มี การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบใน จชต. ซึ่งได้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน

ไทยและมาเลเซียให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาพื้นที่ ชายแดนเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดี ของประชาชน และเพื่อเสริมสร้ างเสถียรภาพและความมั่นคงในพื้นที่  พัฒนาการที่สําคัญ  ได้แก่

  (ก) การอํานวยความสะดวกด้านการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ชายแดน: ได้มี การลงนามความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนฉบับปรับปรุงจากฉบับปี2483 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์2556 ในช่วงการประชุมหารือประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 5 เพื่อให้การสัญจรไปมาระหว่างประชาชนสองฝ่ายมีความสะดวกยิ่งขึ้น

  (ข) ความมั่นคงในพื้นที่ : นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้รื้อฟื้นความร่วมมือด้านการแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ โดยฝ่ายมาเลเซียกําหนดจะจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลเพื่อนํา biometric border pass system และMalaysia Automated Clearance System (MACS) มาปรับใช้ในการพิสูจน์บุคคลสองสัญชาติ ระหว่างวันที่ 26-28 มิถุนายน2556 ณ เมืองยะโฮร์บารู รัฐยะโฮร์ แต่ได้เลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์หมอกควั นและมลพิษทางอากาศในมาเลเซีย

  (ค) การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน: ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งรัดการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก2 แห่ง  เพื่อเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดนราธิวาสกับรัฐกลันตัน ได้แก่(1) ตากใบ-เปิงกาลันกุโบร์และ(2) สุไหงโก-ลก– รันเตาปันยัง / การเปิดด่านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมืองและกันกันสินค้า (CIQ) อย่างเป็นทางการที่บ้ านประกอบ จังหวัดสงขลากับดุเรียนบุหรง รัฐเกดะห์/ การขยายด่านสะเดา-บูกิตกายูฮิ ตัม  เพื่อรองรับการจราจรขนส่งและการเดินทางข้ามแดนของประชาชนที่ เพิ่มขึ้น/ การร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ การเชื่อมโยงแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย(Southern Development Plan – SDP) กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจทางเหนือ(Northern Corridor Economic Region – NCER) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจทางตะวันออก(East Coast Economic Region – ECER) ของมาเลเซีย/ และในช่วงการประชุมหารือประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์2556 นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่ ด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาของภาคเอกชนในพื้นที่ชายแดนครอบคลุมความร่วมมือ6 สาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ อุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทางเลือกอุตสาหกรรมยางและน้ำมันปาล์ม  อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)

  (ง) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: ไทยกับมาเลเซียมีความร่วมมือด้านการศึกษาและอุดมศึกษาอย่างใกล้ชิด  มีการแลกเปลี่ยนครูและนักเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยมาเลเซียได้มีส่วนช่วยไทยในการพัฒนาสองหลักสูตร(วิชาสามัญและวิชาศาสนา) ในโรงเรียน จชต. และได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนใน จชต.ให้ไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่ มาเลเซียปีละ60 ทุนเป็นระยะเวลา5 ปี(2551-2556) เนื่องในโอกาสครบรอบ50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียเมื่อปี2550

อ้างอิงจาก  thaibizmalay
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
848
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
591
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
510
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
484
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
472
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
447
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด