บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
603
2 นาที
25 ตุลาคม 2567
เปิดสูตร “M = R – C” ตั้งราคาสินค้าธุรกิจค้าปลีก
 

ธุรกิจค้าปลีกและบริการ ปี 2567 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-7 % ซึ่งธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทย มีส่วนแบ่งการตลาดดังนี้
  1. กลุ่มห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ครองส่วนแบ่งการตลาด 0.4%
  2. กลุ่มดิสเคาท์สโตร์ เช่น โลตัส บิ๊กซี ฯลฯ ครองส่วนแบ่งการตลาด 1.9%
  3. กลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ วิลล่ามาร์เก็ต ครองส่วนแบ่งการตลาด 2.4%
  4. กลุ่ม ร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven บิ๊กซีมินิ ซีเจมอร์ ครองส่วนแบ่งการตลาด 95.3%

แต่ความยากของธุรกิจค้าปลีกไม่ว่ากลุ่มไหนก็คือเรื่องกำลังซื้อที่หดหาย และการเจอคู่แข่งทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ทำให้การบริหารจัดการเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะการตั้งราคาที่ต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยต้องพิจารณาหลายอย่างประกอบกันเช่น
  • การให้บริการ หากมีบริการเสริมเข้ามา ร้านควรเพิ่มราคาในการให้บริการด้วย เช่น การจัดส่ง การแพ็กสินค้า ฯลฯ
  • ต้นทุนสินค้า โดยคำนวณจากต้นทุนสินค้าที่รับมา และต้นทุนในการดำเนินการ 
  • การแข่งขัน เทียบราคาตลาด แล้วกำหนดให้ราคาต่ำกว่า , สูงกว่า หรือว่าเทียบเท่า ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจ
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจค้าปลีกควรตั้งราคาที่เพิ่มจากต้นทุนสินค้ามาแล้วประมาณ 20-30% (ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า) ธุรกิจค้าปลีกสามารถทำได้ทั้งแบบ
  • Markup on Cost คิดจากต้นทุนของสินค้า
  • Markup on Selling Price คิดจากราคาขายของสินค้า
  • Markup Chain บวกเพิ่มแบบลูกโซ่

ถ้าหากยังมองภาพไม่ออกลองดูสูตรการตั้งราคาสินค้าขายปลีก M = R – C ดังนี้
  • Markup (M) = ยอดที่ต้องการเพิ่ม 
  • Retail (R) = ราคาขาย
  • Cost (C) = ราคาทุน 
ราคาขายต่อชิ้น = ต้นทุนรวมต่อชิ้น + ((%กำไรที่ต้องการจากต้นทุน/100) x ต้นทุนรวมต่อชิ้น)
 
เช่น เสื้อยืดต้นทุนตัวละ 50 บาท ต้องการกำไร 20% ของต้นทุน
ราคาขายต่อชิ้น = 50 + ((20/100) x 50) = 60 บาท 
 

อย่างไรก็ดีหลักการการคำนวณต้นทุนนี้เป็นเพียงแนวทางพื้นฐานในการตั้งราคาขายที่เหมาะสมเท่านั้น การปรับราคาขายต้องคำนึงถึงต้นทุนที่อาจเปลี่ยนไป ราคาตลาด พฤติกรรมลูกค้า หรือแม้แต่กระแสความนิยมด้วย และหากจะไปดูในหลักการตั้งราคาอาจใช้ 7 หลักการต่อไปนี้ในการพิจารณาร่วมด้วย
  1. Premium Pricing การตั้งราคาสูงกว่าตลาด
  2. Penetration Pricing การตั้งราคาแบบรุกตลาด ที่ทำราคาให้ต่ำกว่าตลาดในช่วงแรก เพื่อดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองสินค้าก่อน
  3. Decoy Pricing การตั้งราคาแบบหลอกล่อ เป็นการตั้งราคาแบบไม่สมเหตุสมผล และตัดตัวเลือกได้ง่าย ผู้บริโภคจะรู้สึกถึงความประหยัด
  4. Skimming Price การตั้งราคาสินค้าและบริการสูงในช่วงแรก และค่อยปรับลดมาอยู่ในราคาปกติ
  5. Psychological Pricing การตั้งราคาสินค้าให้น่าดึงดูดตามหลักจิตวิทยา เช่น การตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 
  6. Product Set Price การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้าเพื่อกระตุ้นการขาย
  7. Seasonal Pricing การตั้งราคาตามช่วงเวลาหรือเทศกาลให้ถูกลงกว่าช่วงปกติ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสูตรที่ใช้ในธุรกิจค้าปลีกเพื่อคำนวณเรื่องกำไรและรายได้ เช่น อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) , อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expense Ratio) , อัตราการเติบโตของยอดขาย (Sales Growth) ซึ่งทุกสูตรมีเป้าหมายเพื่อให้รู้ถึงการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีก ว่ามีปัญหาตรงไหนที่แก้ไข หรือว่าธุรกิจเติบโตอยู่ในระดับใด จะได้กำหนดเป้าหมายและวางแผนในการทำตลาดได้อย่างถูกต้อง เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมากขึ้นได้ในอนาคต

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
593
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
482
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
461
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
398
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
383
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด