บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
1.3K
2 นาที
7 สิงหาคม 2567
Data-driven Marketing อาวุธ Burger King ปั้นเมนูใหม่ เพิ่มยอดขาย สร้าง Awareness 
 

หนึ่งในกรณีศึกษาของแบรนด์ในออกแคมเปญการทำตลาด จนสามารถสร้างกระแสได้เป็นอย่างดี นั่นคือ "เบอร์เกอร์คิง" ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในการทำการตลาดแต่ละครั้งมาจากปัจจัยอะไร ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์มีข้อมูลจากการพูดคุยกับ "คุณตุลย์-ชนินทร์ นาคะรัตนากร" Digital Marketing Manager of Burger King มาเล่าให้เข้าใจแบบง่ายๆ 
 
จาก Data Insights สู่ Value for money
 

ภาพจาก www.facebook.com/BurgerKingThailand

กลยุทธ์การตลาดของเบอร์เกอร์คิงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ การใช้ Data-driven Marketing เพื่อสร้างการจดจำในแบรนด์เบอร์เกอร์คิง และทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก ต่อจากนั้นนำ Data Insights ที่เก็บรวบรวมมาจากผู้บริโภคคนไทย คู่แข่ง เทรนด์การตลาด ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหาร รสชาติ กระแส พัฒนาเมนูใหม่ๆ ทั้งไก่ทอดหาดใหญ่ เบอร์เกอร์ และเมนูข้าวต่างๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ให้มาใช้บริการถี่ขึ้น 
 
อย่างเช่นกรณีเมนู "ไก่ทอดหาดใหญ่" ได้เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2566 ซึ่งถือว่าเบอร์เกอร์คิงเป็นแบรนด์ในกลุ่มฟาสต์ฟู้ดเจ้าแรกในไทยที่ทำเมนูไก่ทอดไม่เหมือนใคร หลังเปิดตัวทำยอดขายเพิ่มขึ้นในหมวดไก่ทอดถึง 20% ดึงฐานกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่ที่ชอบไก่ทอดหาดใหญ่ และคนไม่ชอบเบอร์เกอร์อยู่แล้วมาใช้บริการเพิ่มขึ้น 10% 
 
จากการทำการตลาดแบบ Data-driven ยังช่วยให้เบอร์เกอร์คิงรู้ข้อมูลในเชิงลึกว่า ผู้บริโภคคนไทยชอบ "หอมเจียว" เอามากๆ ทำให้เบอร์เกอร์คิงต้องเพิ่มปริมาณหอมเจียวเยอะๆ ถึง 3 เท่าตามความต้องการของผู้บริโภค ลูกค้ายังสามารถซื้อหอมเจียมเพิ่มได้ อีกทั้งยังเพิ่มซอสแจ่วที่ลูกค้าชื่นชอบ ขายราคา 149 บาท สามารถตอบโจทย์เทรนด์การตลาดแบบ Value for money ได้เป็นอย่างดี เพราะแม้ว่าราคาจะเพิ่มนิดหน่อย แต่ลูกค้ายินดีที่จะจ่าย เพราะคุ้มค่า คุ้มราคา 
 

ภาพจาก www.facebook.com/BurgerKingThailand
 
นอกจากใช้ Data-driven พัฒนาเมนูใหม่อย่าง "ไก่ทอดหาดใหญ่" และซอสแจ่วแล้ว เบอร์เกอร์คิงยังไม่ลืมให้ความสำคัญกับ Core Product นั่นคือเบอร์เกอร์ มีการออกเมนู "เบอร์เกอร์ซอสหมูกระทะ" มาจากการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่ชอบทานหมูกระทะ ถือเป็นอีก Core Product ที่ได้รับความนิยมจนเป็นกระแสได้อย่างดี
 
เดินหน้ากลยุทธ์ Branding + value for money
 

ภาพจาก www.facebook.com/BurgerKingThailand

สำหรับกลยุทธ์การตลาดของเบอร์เกอร์คิงต่อจากนี้ไปจนถึงช่วงปี 2505 ยังคงเน้นเรื่อง Branding ผสมผสานกับ value for money สร้างกระแสให้เกิดขึ้นกับแบรนด์ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เบอร์เกอร์คิงมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกระแสตลอดเวลา จดจำได้ง่าย มีการออกเมนูใหม่ที่มีรสชาติ Localize ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้คนไทยรู้สึกว่าเป็นเมนูที่มีรสชาติคุ้นเคย อยากลิ้มลอง เมื่อดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาใช้บริการได้ จะมีการทำการตลาดแบบ value for money ลดราคา เพื่อให้ลูกค้าที่มากินเมนู Localize ได้กินเมนูหลักๆ ของเบอร์เกอร์คิงมากขึ้น โดยที่ให้คูปองส่วนลดกับลูกค้ากลุ่มนี้ 
 
นอกจากนี้ยังมีการทำ CRM โดยให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านทำการลงทะเบียนผ่านแอปฯ จะทำให้รู้ข้อมูลว่าลูกค้าแต่ละคนชอบทานอะไร จะได้ออกเมนู หรือทำแคมเปญการตลาดได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ เพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนลูกค้า เพิ่มจำนวนความถี่ของลูกค้าที่เข้ามาเป็นลูกค้าของเบอร์เกอร์คิง
 
การตลาดไม่ “จริงใจ-โปร่งใส” อยู่ยาก 
 

ภาพจาก www.facebook.com/BurgerKingThailand

คุณตุลย์-ชนินทร์ พูดช่วงท้ายด้วยว่า การทำการตลาดในอนาคตจะยากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าลูกค้าสามารถเข้าสู่ข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการทำการตลาดแบบไม่จริงใจ ก็อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป ทุกๆ อย่างต้องโปร่งใส ไม่ต้องหมกเม็ด ถ้ามีอะไรที่ควรจะบอกลูกค้าก็ควรจะบอกเลย ไม่ควรที่จะให้เขามาเจอที่ร้าน ทำให้เกิดผลด้านลบตามมา 
 
“การตลาดต้องโปร่งใสขึ้น แต่ต้องมีความพิเศษมากขึ้น และต้องรวดเร็วมากขึ้น เพราะฉะนั้นการทำการตลาดต้องยากขึ้นอยู่แล้ว เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ และต้องแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดด้วย” 
 
การตลาดไม่จำเป็นต้องเร็ว! ต้อง Right Timing ถูกช่วง ถูกเวลา
 

ภาพจาก www.facebook.com/BurgerKingThailand

คุณตุลย์-ชนินทร์ ยังเผยเทคนิคการทำการตลาดให้ชนะคู่แข่ง ต้องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ก็อาจจะชนะมากกว่า 50% เราไม่ใช่แค่รู้ข้อมูลทุกอย่างภายในองค์กร ต้องรู้ความเป็นไปเป็นมาของคู่แข่งด้วย รู้ว่าตอนนี้เขาทำโปรโมชั่นอะไร หรือเขาออกเมนูอะไรอยู่ ตอนนี้ลูกค้ากินอะไรในร้านคู่แข่ง เราต้องสังเกตลูกค้าคู่แข่งด้วย เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมลูกค้าคู่แข่งถึงไม่เข้ามาในร้านเรา จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
 
“การทำการตลาดไม่จำเป็นต้องเร็วที่สุด แต่ต้อง Right Timing ที่สุด เพราะบางทีออกแคมเปญการตลาดเร็วเกินไป ลูกค้าอาจไม่เข้าใจก็ได้ เช่น สมมติเบอร์เกอร์คิงออกเมนูที่เป็น แพลนต์ เบส (Plant based) เป็นเจ้าแรก แต่ลูกค้าในเมืองไทยอาจไม่เข้าใจก็ได้ ต่อมามีเจ้าอื่นออกเมนู Plant based ตามมา แต่บังเอิญเป็นช่วงที่ลูกค้าให้ความสนใจพอดี เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง เพราะฉะนั้นเจ้านี้อาจประสบความสำเร็จมากกว่าเจ้าแรกๆ ก็ได้ ดังนั้น การออกแคมเปญการตลาด หรือการ Launch เมนูใดๆ ไม่จำเป็นต้องเร็วที่สุด แต่ต้องถูกช่วง ถูกเวลาที่ตลาดและผู้บริโภคต้องการมากที่สุด”
 
นั่นกลยุทธ์การตลาดและการใช้ Data-driven Marketing อย่างชาญลาดของ “เบอร์เกอร์คิง” จนสามารถสร้างกระแสและแคมเปญที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ทั้งออกเมนูใหม่ เพิ่มยอดขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ยั่งยืน

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
425
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด