บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    การเงินในธุรกิจแฟรนไชส์
6.4K
3 นาที
24 ธันวาคม 2550
การจัดการความรู้ สินทรัพย์หลักของแฟรนไชส์  
 
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีคำกล่าวอมตะที่เกี่ยวข้องกับ “คุณค่า” และ “ความสำคัญ” ของ “ความรู้” อยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ว่า “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน”, “ปัญญาประดุจดังอาวุธ”, “ความรู้คืออำนาจ” ฯลฯ คำกล่าวเหล่านี้แฝงแง่มุมของความจริงที่ว่า “การมีความรู้”, “การใช้ความรู้” และ “การสร้างความรู้” อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์สภาวะแวดล้อม จะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์และแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังมหาศาล 
 
ผู้ที่ “มี” , “ใช้” และ “สร้าง” ความรู้อย่างถูกต้องเหมาะสม จะเป็นผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องการเลือกรับประทานอาหาร รวมทั้งการออกกำลังกาย เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายอย่างถูกต้อง และเรานำความรู้นี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เราก็ย่อมเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หรือถ้าเรามีความในวิธีการทำงานต่าง ๆ ของเราอย่างลึกซึ้ง เราก็สามารถนำความรู้ดังกล่าวมาใช้เพื่อให้การทำงานของเราเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพได้ 
 
อย่างไรก็ตาม ความรู้หลาย ๆ อย่างจะเก่าเร็ว และใช้งานได้เฉพาะในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง หรือขึ้นกับสถานการณ์ (บริบท) อีกทั้งความรู้ยังเป็นสิ่งที่มีพลวัต ไม่หยุดนิ่ง จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามสภาวะแวดล้อมและการเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนั้น การพัฒนาหรือสร้างความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นใช้งาน จึงจำเป็นสำหรับการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เราอยู่ อีกทั้งความรู้ใหม่ ๆ เหล่านี้ยังถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่สำคัญด้วย  
 
ความอยู่ดีกินดีมีสุขของคนในชุมชน สังคม และประเทศชาติ ล้วนเกี่ยวข้องกับการ “มี”, “ใช้” และ “สร้าง” ความรู้อย่างเหมาะสมภายใต้ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันในแต่ละภาคส่วนของสังคม ทั้งในภาคประชาชนหรือชาวบ้าน ในภาคแข่งขันหรือธุรกิจ และในภาคสาธารณะ ซึ่งได้แก่ ภาครัฐ หรือราชการ และภาคประชาสังคม 
 
โดยในยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) และสังคมฐานความรู้ (Knowledge-Based Society) โจทย์สำคัญที่แต่ละภาคส่วนต้องตีให้แตกก็คือ ความรู้ที่สามารถนำมาใช้งานได้นั้นจะหาได้จากแหล่งใดบ้าง เมื่อหาได้แล้วจะนำความรู้นั้นมาตรวจสอบปรับใช้ได้อย่างไร เมื่อใช้แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะถ่ายทอดหรือจัดเก็บความรู้ดังกล่าวเพื่อไม่ให้สูญหาย นอกจากนี้ ยังต้องหาแนวทางที่จะช่วยให้สามารถนำความรู้นั้น ๆ ไปเชื่อมโยงเข้ากับแต่ละภาคส่วนให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน รวมทั้งยังต้องหาวิธีปรับใช้งานความรู้ต่อไปในอนาคต หรือสร้างให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์หรือสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป 
 
จากที่กล่าวไปแนวทางหนึ่งที่สามารถแก้โจทย์ข้างต้นได้ก็คือ การอาศัย “การจัดการความรู้” (knowledge Management) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความหมายรวมถึงการรวบรวม การจัดระบบ การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่สามารถนำมาสร้างเป็นความรู้ การตีความ ทำความเข้าใจถึงที่มา และตรวจสอบแนวคิดของความรู้นั้น ๆ ตลอดจนการแบ่งปันความรู้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน ขบคิด ต่อยอดความรู้สำหรับนำไปใช้งาน ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัย “การเชื่อมโยงระหว่างบุคคล” เป็นกลไกสำคัญ โดยมี “เทคโนโลยี” เป็นเครื่องมือสนับสนุน 
 
ความรู้และการจัดการความรู้ 
 
“ความรู้” เป็นสิ่งที่ได้รับจากการตรวจสอบ วิเคราะห์ ตีความ ทำความเข้าใจใน “ข้อมูล” หรือ “ข่าวสาร” ที่อยู่ตามแหล่งต่าง ๆ รายรอบตัวเรา โดยความรู้เป็นสิ่งที่ต้องอาศัย “ความเข้าใจ” ในตัวข้อมูลข่าวสารมากกว่า “ความจำ” ในตัวข้อมูลข่าวสารนั้น ๆ เมื่อเรารับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เข้ามา ในตอนแรกนั้น หมายถึง “การรู้” (knowing) แต่ยังไม่ใช้ “ความรู้” (knowledge) ยกตัวอย่าง เช่น คำกล่าวที่ว่า “ป่าที่มีต้นไม้เยอะจะให้ปริมาณน้ำ และความชุ่มชื้นมาก”

คำกล่าวนี้เป็นเพียง “ข้อมูล” ที่เรารับรู้กันทั่วไป ซึ่งหากจะยกระดับเป็น “ความรู้” แล้วเราจำเป็นต้องนำข้อมูลนี้มาตรวจสอบ วิเคราะห์ ตีความ ทำความเข้าใจ กล่าวคือ เราต้องรู้ที่มาที่ไปของข้อมูลนี้ว่ามีรากฐานความคิดมาจากอะไร ภายใต้สถานการณ์หรือสภาวะแวดล้อมเช่นใด ข้อมูลมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเมื่อตรวจสอบไปโดยใช้ข้อมูลรายรอบมากขึ้นจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งจากการสอบถามผู้รู้ หรือแม้กระทั่งการสังเกตทดลองด้วยตัวเอง เราจะพบว่า คำกล่าวข้างต้นอาจเป็นได้ทั้ง “จริง” และ “เท็จ” เพราะป่าแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันตามสภาพของป่า ทำให้ต้องการต้นไม้แตกต่างกันไป โดยต้นไม้บางชนิด เมื่อปลูกในป่าหนึ่ง ๆ แล้ว อาจให้ปริมาณน้ำ และความชุ่มชื้นมาก แต่ต้นไม้บางชนิด ถึงปลูกมากในป่าหนึ่ง ๆ ก็อาจไม่ให้ปริมาณน้ำมากก็เป็นได้ 
 
เมื่อเราได้ตรวจสอบวิเคราะห์ ตีความ ทำความเข้าใจในข้อมูลดังกล่าวแล้ว ข้อมูลนี้ก็จะถูกยกระดับเป็นความรู้เรื่องของการปลูกต้นไม้ให้เหมาะสมในป่า และเมื่อเรารู้ว่า ต้นไม้ชนิดใดปลูกในป่าใดเหมาะสมแล้ว ความรู้เหล่านี้ เราก็สามารถนำไปใช้ในการปลูกป่าหรือรักษาสภาพป่าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิผล และหากเรามีการบันทึก ถ่ายทอดกระบวนการสร้างความรู้ดังกล่าว ตลอดจนการนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาใช้อย่างต่อเนื่อง ก็ถือได้ว่าความรู้นี้ได้เข้าสู่กระบวนการส่วนหนึ่งของ “การจัดการความรู้” 
ในมุมมองด้านการจัดการความรู้นั้น

สามารถแบ่งที่มาของความรู้ออกได้เป็น 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ แหล่งความรู้ฝังลึกที่อยู่ในตัวบุคคล (Tacit knowledge) และ แหล่งความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับการบันทึกหรือถ่ายทอดออกมาในรูปของเอกสาร ตำรา การสอน การอบรม ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าความรู้ส่วนใหญ่ในโลกกว่าร้อยละ 80 เป็นความรู้ฝังลึกที่อยู่ในตัวบุคคลแทบทั้งสิ้น 

ความรู้ฝังลึกที่อยู่ในตัวบุคคลเป็นความรู้ที่แต่ละคนสะสมผ่านประสบการณ์ และการเรียนรู้ต่าง ๆ มามากมาย การเปลี่ยนความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวบุคคลให้กลายมาเป็น ความรู้ที่สืบทอดและปรับปรุงใช้ต่อได้สำหรับผู้อื่น นับว่ามีความสำคัญในกระบวนการจัดการความรู้ เพราะหากเราไม่สามารถนำความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวบุคคลออกมา แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อใช้งานระหว่างกันได้แล้ว ความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวบุคคลก็จะสูญหายไปเมื่อบุคคลนั้น ๆ จากไป 

การเปลี่ยนความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวบุคคลให้กลายมาเป็น ความรู้ที่สืบทอดและปรับปรุงใช้ต่อได้สำหรับผู้อื่น มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น การบันทึก การพบปะพูดคุยกัน การสอนหรืออบรม เป็นต้น 
 
การจัดการความรู้กับระบบแฟรนไชส์ 
 
การบันทึกเป็นเอกสาร หรือหลักฐานเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ความรู้ไม่สูญหายไปกับ บุคคลนี่คือสินทรัพย์หลักของระบบแฟรนไชส์ในอดีตนั้น คนไทยเรามีการบันทึกความรู้โดยเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลักศิลาจารึกนับเป็นแหล่งความรู้สำคัญที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างไรตามการบันทึก และถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ของคนไทยนั้น ยังนับว่าน้อยมาก หากเทียบกับผู้คนในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับการบันทึกถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ค่อนข้างมาก 
 
ระบบแฟรนไชส์ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (knowledge-Sharing) ระหว่างบุคคลผ่านกระบวนการพบปะทางธุรกิจ (Franchising)
 
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ระหว่างกันในการทำงาน คู่มือปฏิบัติการสมาคม สัมมนา อบรม การจัดนิทรรศการ หรือการซื้อขายกันโดยตรง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการหนึ่งของ การจัดการความรู้ที่ช่วยเปลี่ยนความรู้จากบุคคลหนึ่ง ๆ ให้มาสู่บุคคลอื่น ๆ ได้เช่นกัน 
 
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ยังช่วยให้เจ้าของ และธุรกิจแฟรนไชส์พ้นจากสภาพ “กบในกะลา” คือ ไม่ได้รู้แต่เฉพาะความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ แต่ได้เรียนรู้ความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งทุกคนจะได้รับประโยชน์ร่วมกันในการเพิ่มความรู้ที่มีอยู่ นอกจากนี้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หากได้ความหลากหลายของผู้เข้าร่วม แลกเปลี่ยนทั้งในแง่ของอาชีพและประสบการณ์แล้ว ก็จะช่วยให้เกิดมุมมองความเห็นใหม่ ๆ ได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจนำมาสู่โอกาสและกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ ในระบบแฟรนไชส์ ได้ด้วย 
 
ที่มา: ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
849
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
591
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
510
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
484
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
472
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
447
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด