บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    กฎหมาย SMEs
7.2K
5 นาที
1 มิถุนายน 2555
ทรัพย์สินทางปัญญากับการทำธุรกิจ

ตอนที่ 5...ประเด็นการพิจารณาวิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ด้วย DCF

ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึง แนวทางและหลักเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับผู้เกี่ยวข้องกำหนดไว้ ซึ่งบริษัทประเมินราคาทรัพย์สินหรือผู้ประเมินราคาก็ได้ใช้เป็นแนวทางในการคิดมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาในปัจจุบัน โดยในบทความในตอนที่ห้านี้จะเป็นการพิจารณาในวิธีการประเมินมูลค่าด้วย “วิธีคิดลดกระแสเงินสด หรือวิธี Discount Cash Flow (DCF)” ซึ่งถือเป็นวิธีหลักที่ใช้ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาตามวิธีรายได้ (Income Approach) ในการประเมินราคาทรัพย์สิน โดยประเด็นในการพิจารณาและสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มีกรณีที่ผู้ประกอบการหรือผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาควรพิจารณาดังนี้

วิธี Discount Cash Flow (DCF)
 
ถือเป็นวิธีหลักในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา โดยหลักการคำนวณหรือมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาตามวิธีนี้ จะพิจารณาตามกระแสรายได้ที่เกิดขึ้นอันเกิดจากรายได้เพื่อหากำไรสุทธิของธุรกิจอันเกิดจากทรัพย์สินทางปัญญานั้น ตลอดช่วงเวลาการให้ประโยชน์ในอนาคตที่กำหนดหรือประมาณการไว้ แล้วคำนวณมูลค่าจากกระแสรายได้ของกำไรสุทธิทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอนาคตดังกล่าวนั้น เป็นมูลค่าเงินสดในปัจจุบัน (Present Value) ด้วยอัตราคิดลดกระแสเงินสด (Discount Rate) ที่กำหนดขึ้น ซึ่งผลรวมทั้งหมดของมูลค่าปัจจุบันของรายได้ที่เกิดขึ้น (Net Present Value - NPV) จะถือเป็นมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญานั้น

ดังนั้นประเด็นของการได้มาในมูลค่าด้วยวิธีนี้จะอยู่ที่ 2 ปัจจัยหรือ 2 ตัวแปรหลัก อันประกอบด้วย กระแสรายได้ที่เกิดขึ้น และ อัตราคิดลดกระแสเงินสด ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่ามูลค่าทรัพย์สินทางปัญญานั้นจะมีมูลค่ามากน้อยเพียงใด และปัจจัยทั้งสองนี้ยังส่งผลให้เกิดข้อโต้แย้งในเรื่องของมูลค่าที่ได้หรือวิธีการได้มาของมูลค่า ทั้งจากตัวผู้ประกอบการเองหรือจากหน่วยงานหรือสถาบันการเงินเองอีกด้วยดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นสมควรที่จะชี้ประเด็นในปัจจัยทั้งสองนี้โดยละเอียดเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในเรื่องของปัจจัยทั้งสองนี้ในการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีประเด็นดังนี้คือ

กระแสรายได้ที่เกิดขึ้น

ในการใช้กระแสรายได้ที่เกิดขึ้นจะใช้มูลค่าของผลกำไรสุทธิ (Net Profit) ในการประเมินหามูลค่า กล่าวคือนำรายได้จากประมาณการ หักด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่าย หักดอกเบี้ยจ่าย และอาจหักภาษีเงินได้นิติบุคคล (ในกรณีของอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีการหักในส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลในการคำนวณ แต่สำหรับทรัพย์สินทางปัญญาหรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตน มักจะมีการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากไม่มีส่วนของมูลค่าซาก หรือมูลค่าของสินทรัพย์คงเหลือเมื่อสิ้นระยะเวลา) เพื่อเป็นยอดคงเหลือของผลกำไรสุทธิในแต่ละปี แล้วคำนวณยอดรวมของผลกำไรสุทธิทั้งหมดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value) กำหนดเป็นมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา

ประเด็นที่สร้างปัญหาคือเรื่องของการคาดการณ์เกี่ยวกับกระแส รายได้ที่เกิดขึ้น ซึ่งมักจะเป็นเรื่องของการตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ “คาดว่า” “หวังว่า” “สันนิษฐานว่า” “ประมาณการว่า” “เชื่อว่า” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการคาดคะเนถึงสิ่งที่ล้วนแล้วแต่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถ้าดูถึงที่มาของประมาณการเกี่ยวกับรายได้เหล่านี้ เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากตัวผู้ประกอบการเองแทบทั้งสิ้น เนื่องจากในประเด็นของข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ประกอบการประเมินมูลค่า จะมาจากแผนธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง

(แม้ว่าจะมีการระบุว่าแผนธุรกิจดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบจากสถาบันการเงินหรือแหล่งทุนก็ตาม เพราะในข้อเท็จจริงแล้วสถาบันการเงินหรือแหล่งทุน มักจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือลงนามรับรองว่าเห็นชอบเกี่ยวกับแผนธุรกิจของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการขอให้ผู้ประกอบการปรับแก้เกี่ยวกับประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ดังนั้นประมาณการส่วนใหญ่จึงมาจากแผนธุรกิจเดิมเป็นหลัก นอกจากนี้มักเกิดข้อโต้แย้งขึ้นเสมอระหว่างผู้ประกอบการกับสถาบันการเงิน เมื่อต้องให้มีการปรับแก้ประมาณการรายได้ดังกล่าว)

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือตัวเลขหรือประมาณการต่างๆ ที่ต้องใช้ในการประเมินมูลค่า จึงมักจะมาจากสิ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญานั้นคาดการณ์ขึ้นแทบทั้งสิ้น

ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นประมาณการที่ดีเกินจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยอดขาย การเพิ่มขึ้นของลูกค้า หรือการเพิ่มขึ้นของ รายได้ ซึ่งมักจะคาดการณ์ในการเติบโตซึ่งสูงกว่าความเป็นจริง (Optimistic)

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นก็มักจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าความเป็นจริง (Pessimistic) เช่นเดียวกัน ทำให้ธุรกิจมีผลกำไรสุทธิในเกณฑ์ที่สูงหรือสูงมาก และส่งผลให้มูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ประเมินได้ก็จะมีมูลค่าสูงเกินจริงเช่นเดียวกัน

เนื่องจากประมาณการเกี่ยวกับรายได้ของทรัพย์สินทางปัญญา ถูกกำหนดจากผู้ประกอบการในการที่ผู้ประเมินราคาทรัพย์สินใช้ในการคำนวณ จึงมักจะทำให้เกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้ระหว่างตัวผู้ประกอบการและหน่วยงานหรือสถาบันการเงิน เพราะในฝั่งของผู้ประกอบการเองก็เชื่อว่าประมาณการที่กำหนดขึ้นนั้น ควรจะเป็นไปตามที่ตนเองที่คาดการณ์ไว้ และเนื่องจากได้มีการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญาของตน โดยบริษัทประเมินราคาซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ราคาที่ได้จึงควรเป็นที่ยอมรับหรือเชื่อถือได้

ในขณะที่หน่วยงานหรือสถาบันการเงินก็มักจะระบุว่าราคาประเมินทรัพย์สินที่ได้ดังกล่าวนั้น มีฐานการประเมินจากการประมาณการเกี่ยวกับรายได้จากผู้ประกอบการเอง ซึ่งหน่วยงานหรือสถาบันการเงินเมื่อพิจารณาแล้วอาจเห็นว่าขาดความน่าเชื่อถือ หรือสูงเกินกว่าความเป็นจริงเมื่อประกอบธุรกิจ

ประเด็นดังกล่าวจึงส่งผลให้แม้ว่าจะมีรายงานประเมินราคาทรัพย์สิน ซึ่งประเมินราคาโดยบุคคลที่สาม (Third Party) ซึ่งอาจเป็นโดยบริษัทประเมินราคาทรัพย์สิน ที่ได้รับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมในเรื่องของมาตรฐานการประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สินก็ตาม ก็ยังไม่แน่ว่าจะถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถืออย่างแน่ชัด ในเรื่องของมูลค่าราคาประเมินที่คำนวณได้เมื่อจะนำมาใช้ในการกำหนดมูลค่าในการสนับสนุนจากหน่วยงานหรือสถาบันการเงิน

และจากเหตุผลที่การคิดกระแสรายได้ดังกล่าว ใช้ข้อมูลจากแผนธุรกิจหรือประมาณการของผู้ประกอบการที่ได้จัดทำขึ้น จึงทำให้ผู้ประกอบการมักจะมีความเห็นว่าตนเองเสียค่าใช้จ่ายในเกณฑ์ที่สูงมากโดยไม่จำเป็น เพราะค่าใช้จ่ายในการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญาโดยทั่วไปในปัจจุบัน อาจอยู่ในระดับหลายหมื่นบาทจนถึงหลักแสนบาท ในขณะที่บริษัทผู้ประเมินราคาทรัพย์สินใช้ข้อมูลของตนเองที่จัดทำขึ้น หรือประมาณการณ์ขึ้นเกือบทั้งสิ้นในการประเมินมูลค่า อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหรือเอกสารที่ได้แต่อย่างใด

และในกรณีที่ตัวผู้ประกอบการเองถ้าพอจะมีความรู้ทางด้านการเงินอยู่บ้าง ก็สามารถที่จะคำนวณหามูลค่าได้เช่นกัน ภายใต้กระแสรายได้และอัตราคิดลดกระแสเงินสดเดียวกัน เพราะย่อมจะได้คำตอบของมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ในมูลค่าเท่ากันกับที่บริษัทประเมินราคาทรัพย์สินคำนวณได้

อัตราคิดลดกระแสเงินสด

ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้มูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาจากกระแสรายได้ที่คาดการณ์ไว้มีมูลค่ามากหรือน้อย โดยอัตราคิดลดกระแสเงินสดยิ่งมีค่ามากเท่าใดย่อมส่งผลให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิหรือมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาลดลงมากตามไปด้วย ดังนั้นภายใต้กระแสรายได้หรือกำไรสุทธิต่อปีที่เท่ากัน ถ้าใช้อัตราคิดลดกระแสเงินสดที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย สมมติว่าธุรกิจที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญานี้มีรายได้เป็นกำไรสุทธิเท่ากันทุกปี ปีละ 10 ล้านบาท โดยสมมติว่าไม่มีการคิดว่ามีการลงทุนเริ่มต้น เวลาการคิดใช้ระยะเวลาประมาณการ 5 ปี เมื่อใช้อัตราคิดลดกระแสเงินสดที่แตกต่างกัน ผลที่ได้เป็นมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาจะมีค่าดังนี้

เมื่อใช้ Discount Rate ที่ 10% มูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา (NPV) จะมีมูลค่า 37.91 ล้านบาท

เมื่อใช้ Discount Rate ที่ 20% มูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา (NPV) จะมีมูลค่า 29.91 ล้านบาท

เมื่อใช้ Discount Rate ที่ 30% มูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา (NPV) จะมีมูลค่า 24.36 ล้านบาท

จะเห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นต่างกันเมื่อกำหนดอัตราคิดลดที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีกระแสรายได้ที่เท่ากันก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้วในการกำหนดหาอัตราคิดลดกระแสเงินสด (Discount Rate) เท่าที่ปรากฏในการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญามักจะกำหนดด้วยวิธีการ 2 แบบ วิธีแรกคือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (Weighted Average Cost of Capital หรือ WACC) หรือวิธีที่สองคือ วิธีแบบจำลองอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ (Capital Asset Pricing Model หรือ CAPM) โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ

วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (Weighted Average Cost of Capital หรือ WACC)

คือ วิธีการเพื่อหาค่าเฉลี่ยของต้นทุนเงินทุนของธุรกิจจากโครงสร้างเงินทุนของธุรกิจ ภายใต้สมมติฐานว่าธุรกิจมีต้นทุนของเงินทุนในการดำเนินการเป็นอัตราเท่าใด โดยถือเป็นอัตราคิดลดกระแสเงินสดของธุรกิจ โดยสูตรของการคำนวณ WACC ที่ปรากฏโดยทั่วไปมักมีสูตรในการคำนวณคือ WACC = (Wd x Rd) + (We x Re)

โดย Wd = สัดส่วนของเงินลงทุนในส่วนเงินกู้

Rd = อัตราผลตอบแทนในส่วนเงินกู้ (หรือเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้)

We = สัดส่วนของเงินลงทุนในส่วนเจ้าของ

Re = อัตราผลตอบแทนในส่วนของเจ้าของหรืออัตราผลตอบแทนของหุ้นสามัญ

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วการคำนวณค่า WACC ยังต้องมีการคำนวณจากส่วนของเงินทุนจากหุ้นบุริมสิทธิ, จากกำไรสะสมของธุรกิจ รวมถึงในส่วนเงินกู้ที่ต้องมีการปรับแก้ค่าเป็นต้นทุนของหนี้สินหลังหักภาษี คือ Wd x Rd x (1 - T) โดย T = อัตราภาษีเงินได้ จึงจะครบถ้วนในการคำนวณต้นทุนเงินทุนของธุรกิจ แต่การประเมินราคาโดยส่วนใหญ่ที่ปรากฏมักจะไม่ค่อยมีการคิดในส่วนดังกล่าว โดยคงคิดเฉพาะจากเงินกู้และเงินทุนส่วนเจ้าของเป็นสำคัญ และเนื่องจากธุรกิจโดยทั่วไปมีทั้งการใช้เงินทุนของผู้ประกอบการเองทั้งหมด หรืออาจมีการใช้เงินกู้ร่วมด้วยบางส่วน สมมติว่าถ้าอัตราอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั่วไปในระบบสถาบันการเงินอยู่ที่ 8.0% และถ้าผู้ประเมินกำหนดให้อัตราผลตอบแทนในส่วนเจ้าของอยู่ที่ 15.0% ดังนั้นในการคำนวณ WACC จึงอาจคำนวณได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันดังนี้คือ

ถ้าธุรกิจนี้มีโครงสร้างไม่มีเงินกู้ยืมเลย คือใช้เงินทุนเจ้าของทั้งหมด ดังนั้น WACC จะเท่ากับWACC = (0% x 8.0%) + (100% x 15.0%) = 0.0% + 15.0% = 15.0%

ถ้าธุรกิจนี้มีโครงสร้างโดยมีเงินกู้ยืม 50% และใช้เงินทุนเจ้าของ 50% ดังนั้น WACC จะเท่ากับWACC = (50% x 8.0%) + (50% x 15.0%) = 4.0% + 7.5% = 11.5%

ถ้าธุรกิจนี้มีโครงสร้างโดยมีเงินกู้ยืม 70% และใช้เงินทุนเจ้าของ 30% ดังนั้น WACC จะเท่ากับWACC = (70% x 8.0%) + (30% x 15.0%) = 5.6% + 4.5% = 10.5%

เนื่องจากประเด็นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น สามารถกำหนดอ้างอิงได้อย่างแน่ชัด จึงไม่ใช่ประเด็นหลักที่ส่งผลนักกับค่า WACC แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ต้นทุนส่วนของเจ้าของว่าควรจะกำหนดเท่าใด

เพราะในข้อเท็จจริงธุรกิจที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญานั้น เป็นธุรกิจที่ถือว่าให้ผลตอบแทนสูง ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน (High Risk, High Expected Return) ดังนั้นการใช้อัตราผลตอบแทนของเจ้าของที่เท่ากับ 15%-18% ตามที่ปรากฏให้พบเห็นได้ทั่วไปในรายงานประเมินราคาทรัพย์สินจึงอาจไม่ใช่อัตราแท้จริง

เพราะฐานดังกล่าวมักจะอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนของธุรกิจที่มี พื้นฐานโครงสร้างธุรกิจจากการใช้ทรัพย์สินโดยปกติทั่วไป เช่น ธุรกิจการผลิต ที่มีการใช้วัตถุดิบ โรงงาน เครื่องจักร เป็นสำคัญ

และความคาดหวังของผู้ประกอบการที่ลงทุนด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ล้วนแต่ต้องการผลตอบแทนมากกว่า 15%-18% แทบทั้งสิ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมากกว่า 25% 30% หรืออาจมากกว่า 50% ขึ้นไป

ซึ่งถ้าลองตรวจสอบกลับเกี่ยวกับที่มาของการกำหนดผลตอบแทนว่า 15% หรือ 18% นั้น มาจากหลักการคิดหรือจากการอ้างอิงด้วยเหตุผลใด ก็มักจะมีคำตอบว่าเป็นอัตราผลตอบแทนทั่วไปในตลาด ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วอัตราผลตอบแทนสำหรับธุรกิจที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นฐานในการสร้างรายได้ของธุรกิจ ไม่มีค่าเฉลี่ยทั่วไปให้อ้างอิงได้โดยตรง และมิได้มีค่าเทียบเท่ากับธุรกิจทั่วไปตามที่กล่าวถึงแต่อย่างใด รวมถึงผู้ประกอบการเองโดยทั่วไป ก็มีความต้องการผลตอบแทนในอัตราสูงกว่าที่กล่าวถึงเป็นอย่างมาก

วิธีการแบบจำลองผลตอบแทนของหลักทรัพย์ (Capital Asset Pricing Model - CAPM)

เป็นวิธีการสร้างแบบจำลองซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ต้องการ กับอัตราผลตอบแทนที่คาดไว้ของกลุ่มหลักทรัพย์ในตลาด และค่าดัชนีชี้วัดความเสี่ยงตามตลาด โดยถือว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ต้องการ เท่ากับอัตราที่ใช้กำหนดเป็นอัตราคิดลดกระแสเงินสด ซึ่งมีสูตรในการคำนวณคือ Ri = Rf + [(Rm - Rf) x B]

โดย Ri = อัตราผลตอบแทนที่คาดไว้ของหลักทรัพย์ (ซึ่งจะกำหนดเป็น Discount Rate)

Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง

Rm = อัตราผลตอบแทนที่คาดไว้ของกลุ่มหลักทรัพย์ตลาด

B = (ค่าเบต้า) ค่าดัชนีชี้วัดความเสี่ยงตามตลาด

ประเด็นที่เกิดขึ้นจะคล้ายกับการกำหนดค่าตัวแปรด้วยวิธี WACC คือ อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงสามารถกำหนดอ้างอิงได้อย่างแน่ชัด เช่น เท่ากับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล หรือบางครั้งอาจอนุโลมใช้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นต้น แต่ปัญหาจะอยู่ที่อัตราผลตอบแทนของตลาดว่าจะมีค่าเท่าใด

ในเมื่อธุรกิจด้านทรัพย์สินทางปัญญาในปัจจุบัน ยังไม่มีจำนวนมากพอที่จะอ้างอิงเปรียบเทียบได้โดยตรง เพราะวิธีการหาอัตราผลตอบแทนด้วยวิธีแบบจำลองดังกล่าวเหมาะสมกับการคำนวณผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในตลาด ซึ่งมีข้อมูลจำนวนของหลักทรัพย์หรือจำนวนธุรกิจมากเพียงพอที่จะใช้หาอัตราค่าต่างๆทางสถิติได้ มิใช่เป็นธุรกิจที่มีจำนวนน้อยและมีความแตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็มักจะคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในวิธี WACC คือมักจะถูกระบุไว้ก่อนว่าผลตอบแทนของตลาดคือประมาณ 15%-18%

ในขณะที่ค่า B ที่เป็นดัชนีค่าความเสี่ยงตามตลาดเพื่อแสดงว่าอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ดังกล่าว มีความเสี่ยงในผลตอบแทนเทียบกับหลักทรัพย์ทั่วไปในตลาดอยู่ในระดับมากน้อยเพียงใด มักจะถูกระบุว่าอยู่ที่ 1.2-1.5 ในขณะที่ค่า B ดังกล่าวในข้อเท็จจริงแล้ว อาจมีค่ามากกว่านี้ก็ได้ เช่น มีค่าเป็น 2, 3 หรือมากกว่าก็ได้ แต่มักที่ระบุว่าเท่ากับ 1.2-1.5 เพื่อที่จะได้ให้ค่าของอัตราคิดลดที่คำนวณได้อยู่ระหว่าง 10%-15% เป็นต้น กล่าวถือมีคำตอบของอัตราคิดลดอยู่แล้ว แต่พยายามหาวิธีการที่ให้ได้มาเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ หรือ กำหนดวิธีการเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ เพราะถ้าสอบถามถึงที่มาที่ไปของการได้มาของค่าต่างๆ ดังกล่าว ก็จะพบว่าไม่สามารถตอบหรือระบุถึงที่มาได้อย่างชัดเจน และคำตอบโดยส่วนใหญ่ก็ได้รับมักจะบอกว่าเป็นเกณฑ์ที่ใช้กันทั่วไปในตลาดเช่นเดียวกัน

ประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งสองปัจจัยข้างต้นที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ทั้งในเรื่องของ กระแสรายได้ที่เกิดขึ้น และ อัตราคิดลดกระแสเงินสด จึงถือเป็นประเด็นสำคัญอันส่งผลให้มูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาที่คำนวณได้มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เพราะในบางครั้งผู้เขียนพบว่าการกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าวที่เกิดขึ้น มักมาจากพื้นฐานหรือข้อมูลที่ขาดเหตุผลรองรับอย่างถูกต้อง

โดยสิ่งที่เกิดขึ้นที่พบอยู่โดยทั่วไปในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาก็คือ ประมาณการรายได้สูงเกินจริง ในขณะที่อัตราคิดกระแสเงินสดก็ใช้อัตราที่ต่ำเกินจริงเช่นกัน

ส่งผลให้ราคาประเมินที่ได้ของทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าว สูงกว่าความเป็นจริงหรือสามารถยอมรับได้ จนมักเกิดข้อโต้แย้งขึ้นระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานหรือสถาบันการเงินอยู่บ่อยครั้ง

ในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนที่หก จะเป็นเรื่องของการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาจากประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งจะระบุถึงวิธีการประเมินด้วยวิธีอื่น เช่น วิธีต้นทุน หรือวิธีเปรียบเทียบตลาด ว่าสามารถที่จะใช้กำหนดมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาได้เช่นเดียวกัน และในบางสถานการณ์อาจเหมาะสมกว่าวิธีรายได้ที่กำหนดไว้อีกด้วย เพียงแต่อาจต้องมีข้อปลีกย่อยหรือเงื่อนไขในการดำเนินการบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปตามแต่กรณี

เนื้อหาของบทความอาจมีกรณีของข้อขัดแย้งหรือข้อแตกต่างจากความเห็นของนักวิชาการหรือแหล่งวิชาการอื่นๆ ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปหรือไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดเกี่ยวกับการประเมินราคามูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ของหน่วยงานหรือสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนจากทรัพย์สินทางปัญญา ดังนั้นจึงขอให้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านในการพิจารณาเนื้อหาหรือประเด็นต่างๆ ของบทความนี้เป็นสำคัญ

อ้างอิงจาก ศศิ คล่องพยาบาล
ที่ปรึกษา ส่วนบริการปรึกษาการเงินและการร่วมลงทุน
ฝ่ายประสานและบริการ SMEs สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ฟองสบู่ร้านอาหารแตก! วิกฤตที่คนทำร้านอาหารต้องรู..
707
10 คาเฟ่เขาหลัก จิบกาแฟกลางธรรมชาติ สัมผัสเสน่ห์..
557
23 จิตวิทยาการขายขั้นเทพ ขายแบบไม่ขาย ฉบับใช้จริง
532
กลยุทธ์โต้กลับ CP เปิด Lotus´s go fresh ใกล้ 7-E..
532
ซบเซาหนัก! 14 ร้านอาหารดังในไทย ปิดกิจการ ปิดสาขา
512
รวม 5 ธุรกิจไทยเอาใจวัยเกษียณ! ทำไมดีกว่า Gen Z
450
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด