SUBWAY เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดอเมริกันที่ขาย แซนวิช และสลัดเป็นหลัก เปิดดำเนินการครั้งแรกในปี 1965 ที่รัฐ Milford, Connecticut สหรัฐอเมริกา จากนั้น SUBWAY ก็มีพัฒนาการที่ดีมาเป็นลำดับขั้นจนได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขามากที่สุดในโลกคือประมาณ ราว 44,000 ร้าน ใน 100 กว่าประเทศทั่วโลก

 

อย่างไรก็ดี www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าการมีสาขาจำนวนมากในการทำธุรกิจยุคนี้อาจไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จได้ตลอดไป จากการครองแชมป์ธุรกิจที่มีสาขามากที่สุดเหนือกว่า พิซซ่าฮัทและเคเอฟซีที่มีสาขาทั่วโลกประมาณ 17,500 แห่ง รวมถึงมากกว่าแบรนด์ดังระดับโลกอย่างแมคโดนัลด์ที่มีสาขาอยู่ราวๆ 14,000 แห่ง

 

ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา SUBWAY  ได้ยึดถือเอกลักษณ์ของตัวเองมาโดยตลอดนั้นคือการเป็นอาหารจานด่วนเพื่อสุขภาพมาตลอด โดยแซนด์วิชของ SUBWAY คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี มีความสดใหม่รวมถึงการใช้กลยุทธ์ในการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ที่มีจุดเด่นคือใช้พื้นที่ไม่เยอะในการเปิดร้าน อีกทั้งค่าธรรมเนียมและการลงทุนก็ไม่สูงมาก จึงทำให้มีผู้ลงทุนในแฟรนไชส์ของ SUBWAY จำนวนมาก 
 

ที่ผ่านมาของ SUBWAY เน้นขยายสาขาแฟรนไชส์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าผลกระทบจากสังคมยุคใหม่และการแข่งขันที่สูงขึ้นเริ่มจะส่งผลกระทบต่อ SUBWAY เช่นกัน ดูจากจำนวนลูกค้าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นลดลงไปกว่า 25% โดยร้านจำนวน 1 ใน 3 ที่อยู่ในอเมริกานั้นคือตัวฉุดยอดขายรวมที่ทำให้ในปี 2016 SUBWAYได้ประกาศปิดสาขาในอเมริกากว่า 360 แห่ง

แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก ในปี 2017 ที่ผ่านมาจึงประกาศปิดสาขาเพิ่มอีกกว่า 900 แห่ง ต่อเนื่องมาถึงปี 2018 ที่แนวโน้มทางธุรกิจยังไม่ดีขึ้นทำให้คาดว่าจะมีการประกาศปิดร้านในปีนี้อีกไม่น้อยกว่า 500 แห่ง

 

เมื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการลดจำนวนสาขาอย่าบ้าคลั่งของ SUBWAY มีเหตุผลที่น่าสนใจ 4 ประการคือ

 

1.พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่เห็นชัดเจนคือการที่ยุคนี้คนหันมาสนใจสินค้าออนไลน์มากขึ้น ไม่ใช่แค่คนที่เข้าร้าน SUBWAY เท่านั้นที่น้อยลงอีกหลายธุรกิจก็ได้รับผลกระทบแบบนี้เช่นกัน สอดคล้องกับข่าวปิดกิจการของร้านค้าปลีกในสหรัฐที่พาเหรดกันปิดตัวไปเป็นจำนวนมากก่อนหน้านี้

 

2.การแข่งขันที่คู่แข่งปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะพวกคลื่นลูกใหม่ไม่ว่าจะเป็น Chipotle ร้านฟาสต์ฟูดสไตล์เม็กซิกัน และร้านแซนด์วิช Firehouse Subs ที่เน้นคุณภาพวัตถุดิบเสมอต้นเสมอปลาย

นอกจากนี้สิ่งที่แตกต่างแต่มีความสำคัญคือการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเช่น การอุ่นอาหารด้วยการนึ่งแทนการใช้ไมโครเวฟที่ร้านฟาสฟู้ดต์รุ่นใหม่นิยมทำกัน ซึ่งสอดคล้องกับวิถีรักสุขภาพที่มาแรงก็ไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าจำนวนไม่น้อยจะเลือกไปใช้บริการฟาสฟู้ดต์รายอื่น

 

3.เน้นการขยายสาขาที่มากเกินไปซึ่งข้อนี้จากที่เคยเป็นจุดแข็งก็กลายมาเป็นจุดอ่อนโดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SUBWAY เน้นการขยายสาขามากเกินไป จนบางครั้งเกิดการทับซ้อนของร้านจนต้องแย่งชิงลูกค้ากันเอง และด้วยการเน้นขยายสาขาอย่างเดียวทำให้ SUBWAY มองข้ามคุณภาพในการบริการที่ควรจะมี

ซึ่งจะเห็นว่าร้านฟาสฟู้ดต์ในปัจจุบันมีการออกแบบให้ลูกค้าสามารถนั่งทานได้แต่ของ SUBWAY ยังยึดแบบ Grab ‘n Go ที่ไม่มีโต๊ะสำหรับลูกค้า ยังไม่รวมเรื่องการพัฒนาเมนูใหม่ๆไว้เป็นทางเลือกซึ่งความผิดพลาดในข้อนี้ถือว่าสำคัญและมีผลอย่างมาก

 

4.SUBWAY ไม่มีการผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ดีพอโดยร้านอาหารยุคนี้มักจะมีแอพพลิเคชั่นให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารได้ทางสมาร์ทโฟน แน่นอนว่าเป็นการลงทุนที่ต้องใช้งบประมาณส่วนหนึ่งในการพัฒนาแต่ผลตอบรับที่ได้จะสอดคล้องอย่างดีกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้

 

ทั้งนี้กลยุทธ์การปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูองค์กรและเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ และแม้ว่า SUBWAY จะประกาศปิดสาขาจำนวนมากในอเมริกาแต่ก็มีแผนรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นและตั้งเป้าขยายสาขาในต่างประเทศอีกกว่า 1,000 แห่ง และรวมถึงการรีโนเวทตัวเองด้วยการเพิ่มสิ่งที่เป็นความต้องการของคนยุคใหม่ ทั้งแอพพลิเคชั่น  รูปแบบของร้าน  คุณภาพการบริการในด้านอื่นๆ ที่มากขึ้น 

แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่ช้าไปบ้างแต่ด้วยศักยภาพของ SUBWAY ซึ่งเป็นธุรกิจชั้แนวหน้าเชื่อได้ว่างานนี้ไม่ยอมล้มง่ายๆเพราะอย่างน้อยประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัยก็ยังใช้ได้ดีอยู่

 

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่  goo.gl/Io5k2S

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก goo.gl/r52ugW