จากผลสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและพืชสมุนไพรในยุคปัจจุบันพบว่า กลุ่มผู้บริโภคช่วงอายุเกิน 50 ปี ให้เหตุผลว่า อาหารเสริมในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพทำให้หยุดบริโภคและหันไปหาวิธีอื่นในการดูแลสุขภาพแทน เช่น ออกกำลังกายบ่อยขึ้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เป็นต้น
ประกอบกับกระแสจากธรรมชาติและความต้องการสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สินค้าที่มีในตลาดปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้อีกต่อไป หากผู้ประกอบการไม่มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจะส่งผลให้มูลค่าตลาดอาหารเสริมในอีก 15 ปีข้างหน้า ลดลงเฉลี่ย 8% ต่อปี
ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับมือกับความท้าทายดังกล่าวด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ
- การนำเสนอผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้สูงอายุ จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุว่าในปี 2030 ไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ถึง 20% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าว ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการบริโภคอาหารเสริมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสมองและความจำรวมถึงอาหารเสริมที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจและความดัน กระดูกและข้อเสื่อม เบาหวาน มะเร็ง รวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับสายตาและการได้ยิน เป็นต้น
- เน้นวัตถุดิบธรรมชาติแทนสารสังเคราะห์ การคิดค้นและพัฒนาอาหารเสริมที่ใช้วัตถุดิบจากสมุนไพรหรือสารสกัดจากธรรมชาติทดแทนอาหารเสริมสังเคราะห์เพื่อให้สอดรับกับกระแสคืนสู่ธรรมชาติ (Back to the Nature) ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่ง EIC พบว่าในช่วงปี 2011-2015 ตลาดอาหารเสริมที่มาจากธรรมชาติมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมสูงถึง 13% ต่อปี ขณะที่อาหารเสริมสังเคราะห์ทั่วไปเติบโตสะสมเฉลี่ยเพียง 7-8% ต่อปี เท่านั้น สะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มาจากธรรมชาติ ทั้งในแง่ความปลอดภัยรวมถึงผลข้างเคียงต่อสุขภาพที่ต่ำกว่าอาหารเสริมสังเคราะห์
- จัดอาหารเสริมเฉพาะบุคคล การให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเฉพาะบุคคล(personalized supplements)โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคในรูปแบบของข้อมูลเชิงกายภาพหรือDNA เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำและผลิตให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลผ่านทางเว็บไซด์หรือแอปพลิเคชัน
สรุปคือ ผู้ประกอบการในตลาดอาหารเสริมควรเล็งปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกระแสรักสุขภาพในไทยส่งผลให้ผู้เล่นกลุ่มธุรกิจอาหารเสริมต้องศึกษาทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่างและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นรวมไปถึงการปรับใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมหรือการร่วมมือทางธุรกิจกับผู้เล่นอื่นในห่วงโซ่อุปทาน เช่น สถาบันวิจัยสมุนไพรหรือโรงพยาบาล สู่การพัฒนาโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว
การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารเสริมไม่สามารถละเลยได้ เพราะนอกจากจะเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญแล้วยังเป็นการสื่อสารถึงภาพลักษณ์ของสินค้าได้อีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทุกชนิดไม่สามารถโฆษณาเพื่อระบุถึงสรรพคุณของตัวสินค้าได้ ส่งผลให้ผู้เล่นต้องหาวิธีสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านช่องทางอื่นแทน ยกตัวอย่างเช่น จุดขายของซุปไก่สกัดที่สื่อสารถึงภาพลักษณ์ของความสำเร็จในชีวิตและส่งผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคในเชิงบวกต่อตัวผลิตภัณฑ์
ใครควรเรียน? ... สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังคิดจะ “ลงทุน” เริ่มต้นธุรกิจในกลุ่มสุขภาพและความงาม หรือ ผู้ที่มีความสนใจในธุรกิจกลุ่มสุขภาพและความงาม ตลอดจนถึงเจ้าของบริษัท ผู้บริหารทุกฝ่าย หัวหน้าฝ่ายงานผลิต การขาย การตลาด การบริการ ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ
เรียนรู้? ... ธุรกิจกลุ่มสุขภาพและความงาม นั้น เป็นธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว มีการแข่งขันสูง การที่เราจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้อย่างยั่งยืนนั้นเราต้องสร้างธุรกิจที่แตกต่าง มีนวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้น้อยที่สุด
ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรมีความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เบื้องต้น และทราบถึงข้อกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ นั้น เพื่อเป็นอาวุธในการคัดเลือกคู่ค้า หรือโรงงานรับจ้างผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ที่เหมาะสม เพราะการเลือกคู่ค้าที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นอกจากนี้ผู้ประกอบการจะต้องรู้จักวิเคราะห์และวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอนในกรอบเวลาที่เหมาะสม