อาร์เบอร์เกอร์ ลุยขยายฐานแฟรนไชส์
 
 

“เอมทำ” เดินหน้า ปั้นแบรนด์ อาร์เบอร์เกอร์-คินเจเปนนิสบุฟเฟ่ต์ หวังสร้างการรับรู้ เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า จับคนวัยทำงานยุคใหม่ หลังจากลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา ชูเบอร์เกอร์คอลลาเจน และ ราเมนบุฟเฟ่ต์ สร้างความต่างในรสชาติ และบริการมัดใจลูกค้า คาดสิ้นปีรายได้โตถึง 40% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ราว 50 ล้าน

นายนิรัตน์ ตรีวิชาพรรณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอมทำ จำกัด ผู้บริหารร้านแฟรนไชส์อาร์เบอร์เกอร์ และคินเจเปนนิส เปิดเผยว่า อาร์เบอร์เกอร์ได้เปิดให้บริการในไทยมาประมาณ 2 ปี โดยมี 2 สาขา คือ สุวรรณภูมิ และสยามสแควร์ สำหรับอาร์เบอร์เกอร์เป็นแฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดให้บริการมานานกว่า 7 ปี โดยเป็นเบอร์เกอร์ เพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ทั้งนี้ ในการเปิดให้บริการในไทยนั้น บริษัท ได้มีการส่งพนักงานไปฝึกอบรมกับทางอาร์เบอร์เกอร์ที่ประเทศญี่ปุ่นในการทำ ทั้งนี้ ในส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ทั้งในส่วนของแป้ง และไส้นั้น บริษัทได้มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 80% และนำเข้าจากญี่ปุ่นอีก 20% โดยเป็นคอลลาเจน และแป้งที่มีส่วนผสมบางชนิด
 

สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนจะทำการขยายสาขาเพิ่มที่แอร์พอร์ตลิงค์สุวรรณภูมิ เนื่องจากเป็นสถานที่ ที่มีลูกค้าต่างชาติ เข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก เป็นรสชาติที่แตกต่างไปจากแฮมเบอร์เกอร์ของรายอื่น นอกจากนี้ ยังมีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ไปทำ โดยได้มีการเจรจาอยู่ประมาณ 4-5 ราย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากยังมีปัญหาในเรื่องสถานที่ ขณะที่บางรายต้องการให้บริษัทหาพื้นที่ให้อีกด้วย

ทั้งนี้ สถานที่ๆ บริษัทสนใจเป็นบริเวณพื้นที่บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เนื่องจากเป็นสถานที่ๆมีคนใช้บริการเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย แต่ขณะนี้ยังติดในเรื่องของสัญญาเช่าอยู่ ซึ่งลักษณะการเข้าไปเปิดจะเป็นแบบคีออส ซึ่งงบลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนบาท

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีความสนใจที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ให้กับผู้สนใจที่จะลงทุน แต่ก็ยังไม่ต้องการขยายสาขามากนัก เนื่องจากบริษัทต้องการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้อยุ่ในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขณะเดียวกันทางด้านประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการเดินทางมาตรวจสอบคุณภาพของเบอร์เกอร์ทุก 3-6 เดือน ทั้งนี้ เพราะไม่ต้องการให้สินค้ามีมาตรฐานแตกต่างไป
 

ทั้งนี้ ในส่วนของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาร์เบอร์เกอร์ที่สาขาสยาม สแควร์ อยู่ที่ประมาณ 100-150 คนต่อวัน ขณะที่สาขาสุวรรณภูมิอยู่ที่ประมาณ 400-500 บิลต่อวัน ขณะที่ราคาจำหน่ายที่สุวรรรภูมิจะมีราคาแพงกว่า 20% เมื่อเทียบกับสาขาสยามสแควร์ ซึ่งจะจำหน่าย ประมาณ 80-90 บาทต่อเซ็ต ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกับคู่แข่ง

นายนิรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากร้านอาร์เบอร์เกอร์แล้ว บริษัทยังได้เปิดให้บริการร้านอาหารคิน เจเปนนิสราเมนบุฟเฟ่ต์อีกด้วย สำหรับร้านคินเจเปนนิสนั้น เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นราเมนบุฟเฟ่ต์รายแรก และรายเดียวในประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด100%

สำหรับร้านอาหารคินเจเปนนิส ได้มีการปรับชื่อใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และเพื่อให้สอดรับกับกลุ่มลูกค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น และคนทำงานเป็นหลัก จากเดิมที่ใช้ชื่อ “คิน ราเมน” ซึ่งได้ทำ การปรับไปเมื่อช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับรูปแบบการให้บริการ จากเดิมที่จะเป็นการให้บริการอาหารจาน เดียว แต่ปัจจุบันเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีทั้งอาหาร ญี่ปุ่น และราเมนให้บริการกว่า 50 เมนู
 

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะเปิดในรูปแบบแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งก็มีผู้สนใจเข้ามาพูดคุยกันอยู่บ้าง สำหรับงบลงทุนที่ใช้ในการเปิดร้านอาหารคินเจเปนนิสอยู่ ที่ประมาณ 2 ล้านบาทขึ้นไป ในพื้นที่ 150 ตารางเมตร ซึ่งทางบริษัทจะได้มีการให้อาจารย์สอนทำอาหารญี่ปุ่น และสอนวิธีต่างๆ ให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ร้านคินเจเปนนิส สำหรับราคาการบริการอยู่ที่ 370 บาทต่อ หัว รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว ขณะที่ความแตกต่างของการให้บริการในรูปแบบของอาหารบุฟเฟ่ต์ของบริษัทนั้น จะอยู่ที่ลูกค้าไม่ต้องเดินมาตักอาหารเอง โดยจะมีพนักงานเข้าไปรับออเดอร์ จากนั้นจะนำไปให้พ่อครัวแล้วทำกันทันที โดยลูกค้าจะได้รับอาหารที่สดใหม่ และร้อนๆ โดยไม่ทานอาหารที่เย็นแล้ว ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งได้ทุกเมนู นอกจากนี้ ยังไม่มีการจับเวลา ซึ่งลูกค้าสามารถนั่งรับประทานอาหาร และพูดคุยกับเพื่อนฝูงไปได้ตลอด
 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ร้านอาหารคินเจเปนนิสมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ย ต่อวันอยู่ที่ประมาณ 250 คน โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักศึกษาเป็นหลัก นอกจากนี้ ก็มีลูกค้าชาวต่างชาติอยู่บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้รวมของ บริษัทในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% แต่ในปีนี้คาดว่าการเติบโตจะเพิ่มขึ้น 40% สำหรับสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นสุวรรณภูมิ 70% และสยามสแควร์ 30% โดยแบ่งเป็น กลุ่มอาหาร 70% และเบอร์เกอร์ 30% 
 

อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ