|
|
7 มกราคม 2553 |
"พาณิชย์"รื้อยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศตั้ง8ขุนพลคุม4ธุรกิจดันไทยขึ้นแท่นผู้นำเอาเซียน
กระทรวงพาณิชย์ปรับยุทธศาสตร์ดันไทยขึ้นแทนผู้นำอาเซียน ตั้ง 8 ขุนพลคุม 4 ธุรกิจ "สินค้าท๊อป10 - สินค้าเอกลักษณ์ไทย-สินค้าดาวรุ่ง-เอสเอ็มอี" ลุยตลาดโลก ผุดศูนย์ทดสอบยานยนต์ ยกระดับชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ดันทุนไทยปักธงตั้งศูนย์กระจายสินค้า และตัวแทนจำหน่ายในต้างประเทศ พร้อมยกระดับย่านการค้า "วรจักร-จตุจักร-โบ๊เบ๊" เป็นหัวหอกพัฒนาสินคค้าเอสเอ็มอี เพื่อการส่งออก
จากสภาวะการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยโครงสร้างเศรษฐกิจโลกได้มีการรวมกลุ่ม การเปิดการค้าเสรี และการย้ายขั้วอำนาจสู่โลกตะวันออก ซึ่งก่อให้เกิดชนชั้นกลางขนาดใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีนและอินเดีย ทำให้มีอุปสงค์และอุปทานเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร เกิดการขาดแคลนอาหารและพลังงาน ทำให้มีแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงทำให้ไทยต้องเร่งปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การค้า เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
6ยุทธศาสตร์ดันไทยเป็นผู้นำอาเซียน
โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศใหม่ ที่จะใช้ระหว่างปี 2553-2557 เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยโดยมีการค้าระหว่างประเทศเป็นฐานรองรับที่มั่นคง รักษาเสถียรภาพการส่งออกในระยะยาว และเสริมสร้างสภาพความเป็นผู้นำของไทยในอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ใหม่ ได้แก่
- ยกระดับคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการของไทยไปสู่ตลาดบน
- ส่งเสริมการผลิตและการพัมนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- กระจายตลาดส่งออกของไทยและสร้างฐานการทำธุรกิจของไทยในทุกภูมิภาคของโลก
- เป็นหนึ่งในผู้นำอาเซียนในการขับเคลื่อนและสร้างความเข้มแข็งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
- เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก และ6.เจรจาเพี่อเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศรวมทั้งรักษาและปกป้องผลประโยชน์ของไทย
ตั้ง8ขุนพลคุมส่งออก4กลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์จึงได้ปรับยุทธศาสตร์การส่งออกใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่ได้แบ่งตลาดโลกออกเป็น 6 ภูมิภาค ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐ จีน อินเดีย เอเชียตะวันออก และอาเซียน ซึ่งมีข้าราชการระดับ ซี 10 เป็นหัวหน้าภูมิภาคต่างๆ เปลี่ยนมาเป็นการตั้งข้าราชการระดับสูงเป็นประธานกลุ่มสินค้า (Chiefs of Product)จำนวน 8 คน ดูแลใน 4 กลุ่มสินค้า เพื่อให้มีเจ้าภาพที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาสินค้าแต่ละตัวอย่างเบ็ดเสร็จ และยังเป็นตัวหลักในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยผู้ประกอบการที่ติดปัญหาการต่างๆในการส่งออก ก็สามารถติดต่อไปยังประธานกลุ่มสินค้านั้นๆ ซึ่งประธานแต่ละกลุ่มต่างก็เป็นข้าราชการชั้นสูงในกรมส่งเสริมการส่งออกมีประสบการณ์การค้าระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน ทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในกลุ่มที่ 1 จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้ส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แต่งตั้งให้มีประธานกลุ่มสินค้าจำนวน 5 คนเข้ามาดูแล โดย
- ศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอาหารและข้าว
- พิรมล เจริญเผ่า รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าแฟชั่น สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ
- มาลี โชคล้ำเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ณัฎฐา รัตนเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
- สุรศักดิ์ เรียงเครือ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญดูแลสินค้าวัสดุก่อสร้าง เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์ยางพารา
กลุ่มที่ 2 สินค้าเอกลักษณ์ไทย ได้แต่งตั้งให้ ทัศนีย์ สุทธภักติ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ดูแลสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย ที่หวังเพิ่มยอดขายโดยการสร้างแบรนด์ไทย เช่น ข้าวหอมมะลิผ้าไหม กล้วยไม้ อาหารไทย สปาไทย กลุ่มที่ 3 สินค้าใหม่ที่มีโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก เช่น เครื่องสำอาง สบู่ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ เครื่องเขียนธุรกิจสิ่งพิมพ์ ได้แต่งตั้งให้ กาญจนา เทพารักษ์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้ดูแล และกลุ่มที่ 4 สินค้า SMEs และสินค้าOTOP ที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออก ได้แต่งตั้ง วิภาศรี ชาลาประวรรตน์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล
ปั้น"อาหาร-แฟชั่น-ไฟฟ้า-ไลฟ์สไตล์ "ครองตลาดโลก
ทั้งนี้ในยุทธศาสตร์กลุ่มที่ 1 สินค้าที่ทำรายได้ส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก ในส่วนของกลุ่มย่อยสินค้าอาหารและภัตตาคารไทย แนวทางปฏิบัติจะเร่งสร้างภาพลักษณ์สินค้าอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จะต้องสร้างกลุ่มพันธมิตรประเทศผู้ผลิตร่วมกับประเทศในกลุ่มอาเซียยนที่มีการผลิตสินค้าใกล้เคียงกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ไม่เพียงเท่านั้นสินค้าไทยจะต้องพัฒนาให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค และวิธีการดำเนินชีวิตของผู้ซื้อในต่างประเทศ ตลอดจนการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างตราสินค้า ส่งสริมให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง เอฟทีเอ อย่างเต็มที่
ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร จะทำความร่วมมือระหว่างสถาบันสอนทำอาหารในประเทศกับต่างประเทศ เปิดหลักสูตรสอนปรุงอาหารไทยและการบริหารจัดการร้านอาหารไทยให้กับผู้สนใจรวมทั้งการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์เครื่องหมาย Thai Select ในระดับภูมิภาค นอกจากนี้จะทำความร่วมมือกับซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างประเทศ เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบอาหารไทยได้ง่าย ส่วนด้านการเงินจะประสานงานกับธนาคารรัฐจัดทำสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำการลงทุนร้านอาหารไทยในต่างประเทศ
ด้านกลุ่มย่อยเสื้อผ้า สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องหนัง มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยเป็นอาเซียน แฟชั่น ฮับ และเป็นศูนย์กลางของเครื่องประดับอัญมณีโลก โดยจะผลักดันให้ผู้ผลิตมีแบรนดฺของตัวเอง ยกระดับสินค้าเจาะกลุ่มลูกค้าชั้นสูง และผลักดันให้เกิด Asia Design Center สนับสนุนการสร้างเครือข่ายกระจายสินค้าในต่างประเทศ พัฒนารูปแบบและดีไซน์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศ รวมทั้งจะร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นผลักดันให้เกิดการออกแบบและการตลาดครบวงจร ส่งเสริมการตั้ง Buying Office ในไทย
สำหรับในกลุ่มย่อยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะเร่งประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าไทยว่าเป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน รวมทั้งจะเป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลอจิสติกส์ ตลอดจนประสานกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานให้ผลิตแรงงานสายอาชีพเพื่อป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรม อย่างเพียงพอ และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะที่กลุ่มย่อยสินค้าซอฟต์แวร์ แอนิเมชั่น เกมส์ จะตั้ง Software/Animation Library เพื่อเป็นศูนย์รวมให้กับผู้ซื้อต่างประเทศ จัดหาข้อมูลการตลาดและรูปแบบของตลาดให้กับผู้ประกอบการ จัดหาผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงการผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด และให้ความรู้กับผู้ประกอบการ เช่น แหล่งงาน กฎหมายระหว่างประเทศ และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ นั้น ได้ตั้งเป้าว่าไทยจะต้องเป็นผู้นำของอาเซียนในการส่งออกสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ที่มีความโดดเด่นเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ และการออกแบบในปี 2015 โดยจะเสนอกระทรวงการคลังเพื่อหาแนวทางลดภาษีวัตถุดิบน้ำเข้าที่มีภาษีสูง และจัดเวทีประกวนและจับคู่นักออกแบบกับผู้ประกอบการ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสินค้าไลฟ์สไตล์ เพื่อรวบรวมข้อมลที่จำเป็นต่อการพัฒนา ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานสินค้าแห่งชาติ
ผุดศูนย์ทดสอบยานยนต์พัฒนาเทคโนโลยี
ส่วนกลุ่มย่อยสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ จะผลักดันให้เกิดศูนย์ทดสอบคุณภาพชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสร้างความเชื่อถือ และลดต้นทุนในการทดสอบสินค้า รวมทั้งจะผลักดันให้ผู้ผลิตรวมตัวกันเป็นคลัสเตอร์เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองและลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมผลิตสินค้า Thai Brand Name โดยจะส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก เพราะเป็นที่ยอมรับในคุณภาพและราคา ส่วนการสร้างบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวนั้น จะร่วมกับสถาบันการศึกษาผลิตบุคลากรด้านวิศวกรรมยานยนต์ และจัดฝึกอบรมให้ความรู้ในเรื่องมาตรฐานการส่งออกมในประเทศเป้าหมาย เช่นออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง ที่เน้นคุณภาพ การส่งมอบ มากกว่าราคา
ด้านกลุ่มย่อยสินค้าวัสดุก่อสร้าง และพลาสติก นั้น ในสินค้าวัสดุก่อสร้างและเหล็ก จะส่งเสริมให้มีการผลิตเหล้กต้นน้ำ และส่งเสริมให้รวมกลุ่มเพื่อขยายตลาดเป็นหมวดหมู่สินค้า พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันมาตรฐานสินค้าชั้นนำของโลกให้การรับรองสินค้าของไทย และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยออกไปร่วมลงทุนเปิดสำนักงานตัวแทน หรือโชว์รูมในต่างประเทศ โดยเฉพาะการรวมกันเพื่อลดต้นทุน หรือร่วมกับนักธุรกิจท้องถิ่น ส่วนการแก้ไขปัญหาการกีดกันการค้า จะตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาการค้า เช่น ใสตรการตอบโต้การทุ่มตลาด เป็นต้น และที่สำคัญจะเร่งแก้ปัญหาต้นทุนการขนส่งทางเรือและปัญหาเรือไม่เพียงพอต่อการส่งออก ในขณะที่สินค้าเม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และการผลิตเม็ดพลาสติกจากมันสำปะหลัง ส่งเสริมการรวมกลุ่มคลัสเตอร์พลาสติกเพื่อทำการตลาดเชิงรรุก ประสานงานกับภาครัฐและเอกชนเพื่อลดต้นทุนการผลิต เช่น ภาษีนำเข้าวัตถุดิบเม็ดพลาสติกชีวภาพ และสิทธิพิเศษการนำเข้าเครื่องจักรเกาเพื่อการผลิต เป็นต้น รวมทั้งจะเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เช่น สินค้าที่นำเข้ามาขายในไทย จะต้องใช้ชิ้นส่วนพลาสติกบางส่วนที่ผลิตในไทย เป็นต้น
ในขณะที่สินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ยางพารานั้น จะส่งเสริมให้มีการแปรรูปวัตถุดิบยางมากขึ้น และปรับเปลี่ยนให้ใช้วัตถุดิบยางผลิตสินค้าแปลกๆใหม่ๆให้มากขึ้น ส่วนไม้ยางพารา และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ยางพารา โดยการจัดตั้งคณะทำงานทบทวนปรับเปลี่ยนมาตรการต่างๆที่เป็นอุปสรรค เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น ภาษีส่งออกร้อยละ 3 สำหรับไม้ยางแปรรูปเป็นต้น รวมกลุ่มอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อวางแผนการผลิตให้เหมาะสม และไม่ขายวัตถุดิบให้ประเทศคู่แข่ง เป็นต้น นอกจากนี้จะต้องเร่งหาตลาดใหม่ทดแทนประเทศจีนที่เก็บภาษีสูงถึงร้อยละ 17 และพัฒนาการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ และแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่เป็นเกณฑ์
หนุนธุรกิจเอกลักษณ์ไทยลุยตลาดโลก
สำหรับยุทธศาสตร์กลุ่มที่ 2 สินค้า และธุรกิจบริการเอกลักษณ์ไทย ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ อาหารไทย กล้วยไม้ไทย ผ้าไหมไทย สปาไทย และพลอยสี โดยเฉพาะข้าวหอมมะลินั้น ได้ตั้งเป้าที่จะให้ไทยเป็นผู้นำด้านคุณภาพข้าวหอมมะลิอันดับ 1 ของโลก โดยการประชาสัมพันธ์ให้ต่างชาติได้เห็นเอกลักษณ์ที่พิเศษของข้าวหอมมะลิที่แตกต่างจากข้างจากแหล่งอื่นๆทั่วโลก รวมทั้งชูความมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทยที่ผูกพันธ์กับข้าวหอมมะลิมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้จะสร้างกระแสความนิยมสินค้าที่มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย และธุรกิจบริการให้คนไทยนิยมยอมรับ เพื่อเป็นฐานหลักสร้างกระแสการยอมรับในระดับสากล ตลอดจนการพัฒนารูปแบบ ทั้งการบรรจุหีบห่อ และการบริโภคให้เข้ากับสังคมและความนิยมให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบการบริโภคให้เข้ากับสังคมและความนิยมของแต่ละประเทศ
ขณะที่สินค้าในกลุ่มสปาไทยนั้น จะร่วมกันผลักดันให้เกิดมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการสปาไทยเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และจะสร้างความเข้าใจเรื่องระบบแฟรนไชส์เพื่อรองรับการทำธุรกิจนานาชาติ จากนั้นจะเร่งส่งเสริมขยายแฟรนไชส์สปาไทยในต่างประเทศ รวมทั้งร่วมมือกับกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพความงาม และสปา พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์ธุรกิจสปาไทย
สินค้ายุทธศาสตร์กลุ่มที่ 3 สินค้าใหม่ที่มีโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก เช่น เครื่องสำอาง สบู่ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ เครื่องเขียนธุรกิจสิ่งพิมพ์ โดยในกลุ่มของเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ได้ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำในธุรกิจสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพและสปาในเอเชีย โดยจะทำการวิจัยตลาดเพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย ส่งเสริมให้ความรู้เรื่องภาษี กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆและสินค้าที่เป็นเทศนั้นๆอนุญาติให้นำเข้า สร้างเอกลักษณ์ให้มีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง
โดยใช้จุดแข็งของไทย เช่นสมุนไพรและดอกไม่กลินหอมนานาชนิดพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนสินค้าอาหารสัตว์ และอาหารเสริมนั้น ไทยมีจุดแข็งในเรื่องของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบอย่างหลากหลาย และต่อเนื่อง และยังมีตลาดที่เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะความนิยมเลี้ยงสัตว์มีมากขึ้น และให้ความสำคัญเหมือนสมาชิกในครอบครัว
จึงเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง รวมทั้งสินค้าอาหารเสริมสำหรับปศุสัตว์ และประมง เช่นอาหารเสริมในการเลี้ยงกถุ้งเป็นต้น โดยจะประสานงานไปยังกระทรวงการคลังเพื่อลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่ไทยขาดแคลน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งส่งเสริมหใมีการสร้างตราสินค้า และประสานกับหน่วยงานมาตรฐานต่างๆให้ออกใบรับรอง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือทั้งผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศ
ดัน"วรจักร-จตุจักร-โบ๊เบ๊"ผลิตสินค้าSMEsส่งออก
ส่วนสินค้ายุทธศาสตร์กลุ่มที่ 4 สินค้า SMEs และสินค้า OTOP ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำในอาเซียนในการส่งออกสินค้สและบริการของ SMEs โดยจะสนับสนุนย่านการค้าและผู้ประกอบการในย่านการค้า เช่น วรจักร จตุจักร โบ๊เบ๊ พัฒนาเอสเอ็มอีในภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งธุรกิจรายมใหม่ ตั้งศูนย์บริหารการบ่มเพาะผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก และสนับสนุนให้เอสเอ็มอีขยายสินค้าผ่าน E-Commerce ให้มากขึ้น
อ้างอิงจาก ผู้จัดการ 360°
|
|
|
|