แฟรนไชส์ เซเว่นอีเลฟเว่นลุ้นสิ้นปี ยอดทะลุแสนล้าน

เซเว่นอีเลฟเว่นเร่งเครื่องสยายปีก ย้ำชัดเศรษฐกิจไม่มีผลกระทบกับกำลังซื้อของลูกค้าเซเว่นฯ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดียิ่งขายดี เพราะคนซื้อของใกล้บ้านมากขึ้น ลุ้นสิ้นปียอดขายทะลัก 100,000 ล้านบาท

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" เปิดเผยว่า แผนปี 53 ยังคงลุยขยายธุรกิจและสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นต่อเนื่องปีละ 400-450 สาขา ใช้เงินลงทุนปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท เพราะเชื่อมั่นว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกปี 53 จะดีขึ้น เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว เช่น การส่งออก ราคาพืชผลเกษตร ราคาน้ำมัน และโรงงานที่เคยปิดกิจการก็เริ่มเปิดและมียอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาแล้ว ซึ่งความเชื่อมั่นเรื่องเศรษฐกิจของประชาชนก็น่าจะสูงขึ้น

ประกอบกับที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ ยอดขายร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีอยู่ 5,123 สาขาทั่วประเทศในขณะนี้ เป็นสาขาแฟรนไชส์ 44% ร้านของบริษัท 56% เติบโตสวนกระแส 9 เดือน ยอดขายเติบโต 17% กำไรเติบโต 30% มีลูกค้าเข้าใช้บริการเฉลี่ยสาขาละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ซึ่งสิ้นปี 52 น่าจะสามารถทำยอดรายได้รวมทะลุ 100,000 ล้านบาท จากปี 51 ที่ทำได้ 80,000-90,000 ล้านบาท
 

"เศรษฐกิจไม่มีผลกระทบกับกำลังซื้อของลูกค้าเซเว่นอีเลฟเว่น ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่อยากเดินทางไกลและไม่ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมากๆ ก็จะซื้อของใกล้บ้านมากขึ้น จึงเข้ามาใช้บริการร้านสะดวกซื้อ โดยเฉพาะเซเว่นอีเลฟเว่นมากขึ้น เนื่องจากสโลแกนของเซเว่นอีเลฟเว่นคือ "เพื่อนที่รู้ใจ...ใกล้ๆคุณ"

ซึ่งยอดขายที่เติบโตสวนทาง ส่วนใหญ่มาจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโตและการขยายสาขาใหม่ สำหรับการซื้อต่อบิลหรือต่อ 1 ใบเสร็จของลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่จำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเพิ่มขึ้น 7-8%"

ทั้งนี้ อีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเซเว่นอีเลฟเว่นเติบโตสวนทางในภาวะเศรษฐกิจขาลงคือ การปรับตัวเองให้เป็นร้าน "อิ่มสะดวก" โดยเน้นขายสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 72-73% และจะพยายามเพิ่มสัดส่วนเป็น 80% ในเร็วๆนี้ เหมือนญี่ปุ่นที่เน้นขายสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 80% เพราะทำให้ ลูกค้า 1 คน มีความถี่ในการเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น

สำหรับเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งนั้น โดยส่วนตัวมองว่าไม่ได้ช่วยอะไรกับผู้ประกอบการร้านโชห่วยไทยเลย แต่ช่วยผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์มากกว่า ขณะเดียวกัน ถือว่าออกมาควบคุมค้าปลีกด้วยซ้ำ ซึ่งอยากให้มองว่า ณ วันนี้สินค้าที่ขายในร้านสะดวกซื้อกับร้านโชห่วยแทบไม่เหมือนกันเลย เพราะร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเซเว่นอีเลฟเว่น จะเน้นขายสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าสินค้าอุปโภค ขณะที่โชห่วยจะเน้นขายสินค้าอุปโภคมากกว่า
 

นอกจากนี้ จำนวนสาขาร้านโชห่วยเมืองไทยมีสัดส่วนมากถึง 680,000 ร้านค้า ขณะที่ร้านสะดวกซื้อหรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ สัดส่วนยังมีจำนวนอยู่น้อยมาก เฉพาะเซเว่นอีเลฟเว่นมีเพียง 5,123 แห่งเท่านั้น ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน โดยญี่ปุ่น สัดส่วนของจำนวนประชากรต่อร้านสะดวกซื้อมีประมาณกว่า 2,000 คนต่อ 1 สาขา ไต้หวัน 25,000 คนต่อ 1 สาขา ขณะที่ไทย 70,000 คนต่อ 1 สาขา ถือว่าการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อทุกแบรนด์ รวมถึงเซเว่นอีเลฟเว่น ยังมีโอกาสอีกมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร

นายสุวิทย์กล่าวว่า ในส่วนของบริษัท ก็พร้อมรุกขยายสาขาต่อเนื่อง โดยปี 51 เปิดสาขาใหม่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ 499 สาขา ปี 52 ช่วง 9 เดือนเปิดได้ 345 สาขา ถึงสิ้นปีน่าจะเปิดได้ครบ 450 สาขา เพราะเชื่อว่ามีโอกาสเติบโตทั้งยอดขายและรายได้ เนื่องจาก ณ วันนี้ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ปรับตัวและปรับแผนการทำตลาดแนวใหม่ โดยปรับการขายสินค้าและบริการแต่ละสาขาให้ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่นั้นๆมากขึ้น เห็นได้ชัดคือสาขาในโรงพยาบาล ที่ขายกระเช้าเยี่ยมคนไข้ด้วย
 

"ในฐานะผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย (The Development of Thai Capital Retailers Association หรือ DTRA) ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกรวมกว่า 20 ราย ร่วมกับกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ เซเว่นอีเลฟเว่น หอการค้าจังหวัด จัดฝึกอบรมผู้ประกอบการไทยทั้งรายเล็ก (เอสเอ็มอี) และรายใหญ่ ฟรี โดยเน้นเรื่องการจัดการแบบสมัยใหม่ ให้แนวคิดเพื่อพัฒนาธุรกิจให้แข็งแรง แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันกับทุนข้ามชาติได้ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการค้าปลีก โดยเฉพาะขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอี ขาดความรู้ในการทำตลาด บริหารจัดการ ทำอะไรไม่จริงจัง ไม่เป็นมืออาชีพ และอ่อนแอ ซึ่งจัดไป 5 ครั้งแล้ว และครั้งที่ 6 จะจัดที่ จ.ขอนแก่น ในสัปดาห์หน้า สมาคมมีเป้าหมายว่าภายใน 1 ปีจะจัด 4 ครั้ง 4 ภูมิภาค ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาด ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาโอกาสในการทำธุรกิจ"


อ้างอิงจาก ไทยรัฐ