“เวฟ” คึกคัก อัพเกรดลิขสิทธิ์วอลล์สตรีทอิงลิชไทยเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์แล้วพร้อมอีก 2 ประเทศใหม่ ลาวกับกัมพูชา ชูกลยุทธ์แฟรนไชส์ รุกโมเดลขนาดเล็ก ตั้งเป้าเปิดอีก 14 สาขาใน 2 ปี หวังรวมเป็น 28 สาขา ย้ำผู้นำตลาด ด้วยแชร์ 38% ในตลาดสอนภาษาอังกฤษกลุ่มพรีเมียม 

 

นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานกรรมการ บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับลิขสิทธิ์ วอลล์สตรีท อิงลิช ในประเทศไทย จากเครือของ PEARSON Education Limited เปิดเผยว่า วอลล์สตรีทไทยอิงลิชประเทศไทยได้รับการอนุมัติเมื่อสองเดือนที่ผ่านมานี้เองจากเจ้าของลิขสิทธิ์วอลล์สตรีทรายใหม่ให้ไทยเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ในไทยและอีก 2 ประเทศเพิ่มเติม คือ ลาวกับกัมพูชา มีสัญญาใหม่นานประมาณ 15 ปี จากเดิมได้ลิขสิทธิ์เฉพาะในไทยเท่านั้นเริ่มปีนี้ 2561

 

 

บริษัทฯจึงได้วางกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับการรุกตลาดการสอนภาษาอังกฤษในไทยและต่างประเทศซึ่งคาดว่าในต่างประเทศจะเริ่มที่ลาวและกัมพูชาได้ประมาณปีหน้า และเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต 

 

“ปัจจัยสำคัญหลักเช่น การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและการค้าของกลุ่มประเทศเออีซี โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทยหรือ อีอีซี รวมทั้งการที่ผผเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในภูมิภาคนี้ทั้ง การท่องเที่ยว การบริการ การเป็นฮับโลจิสติกส์ ดึงดูดให้นักลงทุนนต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานทัพทางการค้า การลงทุน ทำให้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจจึงมีความสำคัญมากกว่าเดิม ถ้าคนไทยเราไม่มีการพัฒนาศักยภาพทางด้านภาษาอังกฤษแล้วก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาและเสียโอกาสทางการค้าได้” นายแมทธิว กล่าว 

 

ขณะเดียวกันเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดเอาไว้ ซึ่งตลาดรวมสอนภาษาอังกฤษมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ตลาดระดับพรีเมียม 1,800 ล้านบาท ขณะนี้วอลล์สตรีทอิงลิชไทยมี ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 38% ในกลุ่มพรีเมียม ทิ้งห่างอันดับ2ที่มีแชร์ 12% นอกนั้นรายละต่ำ 10% ซึ่งในตลาดมีผู้เล่นไม่กี่รายเช่น บริติชเคาน์ซิล เอยูเอ เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นตลาดระดับกลาง มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการทอ้งถิ่นและภูธรทั่วไป 

 

โดยบริษัทฯได้ปรับแผนการลงทุน หันมาใช้นโยบายการขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ที่สนใจจะเปิดวอลล์สตรีทอิงลิช จากเดิมบริษัทฯลงทุนเอง ด้วยเงื่อนไขหลัก อายุสัญญา 10 ปีต่อ 5 ปี ขนาดใหญ่ ลงทุน 11 – 12 ล้านบาท และขนาดเล็ก ลงทุน 3 – 4 ล้านบาท คืนทุนประมาณ 3 ปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 2 ปีจากนี้ ( จะขยายสาขาให้อีก 14 สาขา แบ่งเป็นของบริษัทฯ 4 สาขา และแฟรนไชส์ 10 สาขา จากปัจจุบันในไทยมี 14 สาขา เป็นของบริษัทฯลงทุนทั้งหมด รวมเป็น 28 สาขา

 

โดยบริษัทฯได้ปรับรูปแบบของสาขาใหม่ ให้มี 2 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ พื้นที่เฉลี่ย 300 ตารางเมตรขึ้นไปไป และขนาดเล็ก พื้นที่เฉลี่ย 100 กว่าตารางเมตร เพื่อความคล่องตัวในการขยายสาขา 

 

ล่าสุดบริษัทฯได้เปิด 2 สาขาใหม่เป็นการทดลองรูปแบบแฟรนไชส์ คือที่ มาญ่าเชียงใหม่ พื้นที่ 130 ตารางเมตร และสาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ซึ่งปีนี้ได้เปิดสาขาใหม่แล้วรวม 3 แห่ง 

 

นอกจากนั้นจะหันมาสร้างแบรนด์และทำการตลาดมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอกย้ำแบรนด์ และตราสินค้า เนื่องจากชื่อแบรนด์ยังไม่เป็นที่ติดปากผู้บริโภคเท่าใด แม้จะเป็นผู้รนำตลาดก็ตาม โดยจะจัดสรรงบตลาดประมาณ 12% จากยอดรายได้รวม หรือประมาณ 60 – 70 ล้านบาท เน้นสื่อดิจิทัลประมาณ 25% และใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ ล่าสุดคือ นิโคลีน มิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี2018 

 

ขณะนี้มีปริมาณผู้ลงทะเบียนเรียนในปี2561นี้รวมประมาณ 10,000 ราย โดยมีกลุ่มผู้เรียนอายุระหว่าง 15 – 22 ปี สัดส่วน 46% และรองลงมาคือ กลุ่มอายุ 22 – 29 ปี สัดส่วน 26% และกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป สัดส่วน 28% ซึ่งปีนี้ฐานผู้เรียนโตถึง 30% 

 

โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายว่า จะมีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ในอีก 2 ปีจากนี้ จากปัจจุบันมีรายได้รวม ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกปี2561นี้ วอลล์สตรีทอิงลิชไทยมีการเติบโต 31% โดยเป็นการเติบโตจากสาขาเดิม 12% และไทยเป็นตลาดสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดเอเซียเติบโตด้วยถึง 17% ส่วนทั่วโลกเติบโต 5% 

 

นายแมทธิว กล่าวด้วยว่า สำหรับ วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ถือเป็นตลาดที่เติบโตและใหญ่ที่สุดในเอเซีย ในแง่รายได้และปริมาณคนเรียน ยกเว้นจีน รองลงมาคือ เวียดนาม เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินโดนีเซีย เมียนมา มาเลเซีย ขณะที่ทั่วโลกวอลล์สตรีทอิงลิชมีสาขารวม 400 กว่าสาขา ใน 285 ประเทศ และมีผู้เรียนมากกว่า 3 ล้านคน

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์